KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ มกราคม 13, 2015, 11:09:53 PM



หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงพ่อดาบส สุมโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 13, 2015, 11:09:53 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20150113230925_luangpor_dabot.jpg)

ถึงแม้จิตจะยังอาศัยอยู่ในกาย แต่จิตไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต
อย่าเอาจิตไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ปล่อยไปเพียงแต่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น
ถ้าทรงอารมณ์อยู่จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใครวางเฉยไม่ทุกข์ร้อน
ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่
อารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์
เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีสำหรับกาย
จิตจะสะอาดเบิกบานผ่องใสพ้นจากความยึดมั่นในของปลอมของทุกข์ของร้อนพระท่าน เรียกว่า จิตของพระอรหันต์
วิธีทำจิตให้ว่างจากกายเรากายเขาแบบนี้ เป็นวิธีลัดแบบง่าย
มีแต่พรหมวิหาร ๔ ไม่ยึดถืออารมณ์ใดๆมาไว้ในจิต
มีความจำได้หมายรู้ก็เหมือนไม่มีความจำ
เพราะความจำอยู่ได้ไม่นานไม่ช้าก็ลืม
ประสาทสมองลืมง่าย
ความคิดความจำ ความฟุ้งซ่าน วิตกกังวลเป็นเรื่องของกายให้สลัดทิ้ง
ให้จิตเต็มไปด้วยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
จิตจะเบาบริสุทธิ์สะอาด จิตอันนี้เราจะตามรอยพระพุทธบาท
เมื่อกายพังแตกสลาย ผู้เพียรทำจิตให้ว่างจากร่างกาย
หรืออารมณ์ต่างๆแบบนี้เป็นแบบของพระอริยเจ้า
เป็นสมาธิเป็นวิปัสสนาญาณอยู่ด้วยกัน
ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน
ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียวและอยู่แบบหมู่คณะ
เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน
เป็นทางลัดตรงไปสู่จุดหมายปลายทางคือ พระนิพพาน

หลวงพ่อดาบส สุมโน


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงพ่อดาบส สุมโน
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 13, 2015, 11:11:07 PM
ถาม: เมื่อเราทำจิตให้หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวงแล้ว มิเป็นอันว่าไม่ต้องรู้อะไรกันหรือ
ตอบ: รู้อะไรๆได้ทุกอย่าง

ถาม: ถ้ารู้อะไรๆได้ทุกอย่างแล้วไซร้ ความที่รู้นั้นไม่ใช่รู้ด้วยความนึกคิดดอกหรือ ไม่ใช่สังขารดอกหรือ
ตอบ: จะว่ารู้ด้วยความนึกคิดก็ใช่ จะว่าไม่รู้ด้วยความนึกคิดก็ใช่ จะว่าไม่ใช่สังขารก็ใช่

ถาม: ทำไมจึงว่าอย่างนั้น
ตอบ: ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะว่า ความนึกคิดนั้นมันแตกกันไปคนละอย่าง ต่างกันไปคนละนัย
ความนึกคิดของผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นนั้น เป็นความนึกคิดที่ชุ่มด้วยยางเหนียว ปละจมอยู่ในความมืด คิดนึกอันใดก็คิดอันนั้น
ไม่รู้อันนั้น จมลงไปในอันนั้นไม่เห็นรอบอันนั้นเหมือนต้นไม้ที่มีราก หรือเหมือนน้ำที่หยาดลงไปในแผ่นดิน
ส่วนความนึกคิดของผู้ที่หลุดพ้นแล้วนั้น เป็นความนึกคิดที่ตรงกันข้าม ด้วยมีความสว่างฉายอยู่รอบ นึกคิดอันใดก็รู้อันนั้น
เพราะความรู้นั้นครอบงำเสียแล้ว ซึ่งความนึกคิดนั้น แม้นึกคิดอันใดก็ไม่ติดไม่จม
เหมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก หรือเหมือนน้ำที่หยาดลงไปในบอน
อนึ่งความนึกคิดของผู้หลุดพ้นแล้วนั้น แม้จะนึกคิดขึ้นที่เรียกว่าสังขาร ความนึกคิดนี้ ก็เป็นเพียงกิริยากรรมเท่านั้น
และใช้นึกคิดขึ้นก็เพื่อประโยชน์ไม่ทำให้เดือดร้อน เช่นเดียวกับไฟที่ผู้จุดขึ้น
เพื่อใช้ในการหุงต้มเป็นต้น เมื่อเสร็จแล้วๆก็ให้ดับไฟเสียฉะนั้น

หลวงพ่อดาบส สุมโน