KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 03, 2013, 06:19:59 PM



หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 03, 2013, 06:19:59 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20131203181944_luangpu_kao.jpg)

ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา
ศีลนำความสุขมาให้ตลอดชีวิต
ศีลนำความสุขไปให้ตลอดและมีสุคติเป็นที่ไป
สีเลน โภคสมฺปทา ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ก็เพราะ
เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์นี้แล

หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 25, 2013, 11:35:30 PM
" ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
วันนี้เราเครียดแทบตาย
แต่วันพรุ่งนี้อาจเป็น
วันที่ดีที่สุดของชีวิตก็เป็นได้ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 12, 2014, 09:14:08 PM
ตามไปจนสิ้นภพสิ้นชาติ

"..ให้นั่งภาวนา พุทโธ ๆ ไม่ต้องร้องให้มันแรงดอก ให้มันอยู่ในใจซื่อ ๆ ดอก
การภาวนาก็เป็นอริยทรัพย์ภายใน มันจะติดตามไปทุกภพทุกชาติ ติดไปสวรรค์
ลงมามนุษย์ มาตกอยู่ในที่มั่งคั่งสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่ยากไม่จน
ทรัพย์อันนี้ติดตามไป บ่มีสูญหายดอก ตามไปจนสิ้นภพสิ้นชาติ.."

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:19:17 PM
พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็นจิต มันไม่เห็น ให้บริกรรมให้เห็น

ต้องการให้มันเบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน
สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๑๘ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น
อายตนะก็ดีตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น

เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา
เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก

ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติความอดทน
ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดูมัน จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:21:46 PM
อัตตภาพคือร่างกายของเรานี้ มันก็นอนทับดิน ส่วนดินมันก็เป็นดิน
ส่วนน้ำมันก็เป็นน้ำ ส่วนลม ส่วนไฟ มันก็เป็นลม เป็นไฟ ของเก่ามัน

ครั้นพ้นแล้วก็กลับมาถือเอาดิน เอาน้ำของเก่าอีกเท่านั้นแหละ

แล้วก็มาใช้ดิน น้ำ ไฟ ลม นี่แหละครบบริบูรณ์ เอามาใช้ในทางดีทางชอบ
ก็เป็นเหตุให้ได้สำเร็จมรรคผลพระนิพพาน

พระพุทธเจ้าสร้างบารมีก็อาศัยดินอันนี้แหละ ประเทศอันสมควรอันนี้แหละ
สาวกจะไปพระนิพพานตามพระพุทธองค์ก็อาศัยอัตตภาพอันนี้

ครั้นไม่อาศัยอัตตภาพอันนี้ มีแต่ดวงจิตหรือมีแต่ร่างซื่อ ๆ ก็ไม่สำเร็จอะไรหมดทั้งนั้น เหมือนกันทั้งนั้น

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:22:37 PM
ผู้ที่จะเที่ยวเอาภพ เอาชาติ นับกัปป์ นับกัลป์ไม่ได้ ตั้งแต่โลกเป็นโลกมา
คือดวงจิตของเรานี่เอง ดวงจิตของเรานี่เองเป็นผู้ก่อกรรมก่อเวรแล้วก่อเล่า
ไม่เบื่อสักที ก็แม่นดวงจิตของเรานี่แหละ เพราะเหตุนั้น เราจึงต้องอบรมจิตใจของเราให้ดี
 ให้ใจรู้เสีย ใจนี่แหละมันเป็นผู้หลง จนนับภพนับชาติไม่ได้ ภพน้อย ภพใหญ่ เที่ยวอยู่ในสังสารจักร์นี่

จึงให้เข้าใจเสียว่า เจ้ากรรมนายเวรคือใจ ตัวกรรมแม่นใจ
ดวงใจอันเดียว วิญญาณอันเดียวเป็นตัวกรรม
แต่งกรรมเสียแล้วให้เวียนตายเวียนเกิดที่นี่ไม่เลิก

เรารู้จักแล้วเราต้องควบคุมใจ แนะนำสั่งสอนใจ ทำใจของเราให้ผ่องแผ้ว
ว่าเอาย่อๆ นี่แหละ กว้างขวางก็ได้ยินมาพอแฮงแล้ว
เอาย่อๆ ควบคุมใจเท่านั้นและเดี๋ยวนี้ ใจนี้

เจ้าของนรกก็แม่นใจนี่แหละ ม่างนรกก็แม่นใจนี่แหละ
ครั้นมันไม่ดีละก็ ร้อน เป็นทุกข์เหมือนใจจะขาด
ครั้นใจไม่ดีละก็ มันกลุ้ม เป็นทุกข์จนฆ่าตัวตายนี่แหละ
ถือว่าเราเป็นเรา นี่ก็เพราะใจนี่แหละ ไม่ใช่อื่นดอก

เพราะมันไม่รู้ ท่านเรียกว่าอวิชชา
ตัวใจนี่แหละอวิชชา

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กรกฎาคม 01, 2014, 12:36:53 PM
ทุกข์มันมาจากไหน ให้พิจารณาทุกข์ก่อน ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ
มันมาจากไหน ค้นขึ้นไปซิ เห็นมาจากโง่นั่นแหละ

ดวงจิตเป็นผู้โง่

มันต้องเป็น มันต้องเดือดร้อน มันถึงใคร่ มันถึงปรารถนา
มันถึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่
เพราะเกลียด เพราะชัง มันชังมันก็ไม่อยากเป็น
แล้วก็หาของมาแก้ไข หาคิดอิหยังมาทา
หนังเหี่ยวก็เอามาทา ลอกหนังออก
มันได้กี่วัน มันก็เหี่ยวอย่างเก่า นี่หาทางแก้ดู

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 15, 2014, 07:16:25 PM
"ตนมีความทุกข์ก็เพราะตนทำให้ตน เมื่อทำความดีใส่ตนแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้รู้ตน
เป็นผู้ยกตน เป็นผู้รักษาตน ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแก่ตน อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ ตนแล เป็นที่พึ่งของตน
เป็นที่พึ่งของตนได้ก็เพราะตนนั่นแหละทำความดี เป็นที่พึ่งของตนไม่ได้
ก็เพราะตนเป็นผู้เกียจคร้าน ไม่มีศรัทธา เข้าวัดฟังธรรม รักษาศีล
มันมัวแต่เห็นแก่ปากแก่ท้อง มัวหามาใส่ปากใส่ท้อง คอยเวลาที่มันตายนั่นแหละ"

...หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 01, 2014, 08:58:53 PM
มากราบสักการะธรรมสถานที่บรรลุธรรมข ขององค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ขาว อนาลโย
“พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเนื้อนาบุญเอกของโลก ผู้พิจารณาเมล็ดข้าวจนพ้นทุกข์” หลวงปู่ขาว
ท่านเป็นลูกหลานชาวนา เกิดในสกุลชาวนา ทำอาชีพเป็นชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงตัว แม้ยามบวช
ปฏิบัติธรรมเร่งความเพียร ข้อธรรมที่ท่านใช้ในการพิจารณาธรรมจนบรรลุเป็นพระอริยบุคคลก็ใช้เมล็ดข้าวมาพิจารณาเป็นข้อธรรม
ข้อธรรมที่ท่านนำเมล็ดข้าวมาพิจารณาจนบรรลุสอุปาทิเสสนิพพาน ในราวพรรษาที่ ๑๖-๑๗

ณ สถานที่กลางทุ่งนา บ้านโหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ “..เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จ หลวงปู่ขาว
ออกจากที่พักไปสรงน้ำ ได้เห็นข้าวในไร่ชาวเขา กำลังสุกเหลืองอร่าม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในขณะนั้นว่า
 ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด
ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกันกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้น ถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไป
จะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลสอวิชชา ตัณหาอุปาทาน
ท่านคิดทบทวนไปมา โดยถืออวิชชาเป็นเป้าหมายแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง
อนุโลมปฏิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา

นับแต่หัวค่ำจนดึกไม่ลดละการพิจารณาระหว่าง อวิชชา กับ ใจ จวนสว่างจึงตัดสินใจกันลงได้ด้วยปัญญา
อวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไรเหลือ การพิจารณาข้าว ก็มายุติกันที่ข้าวสุก หมดการงอกอีกต่อไป
การพิจารณาจิต ก็มาหยุดกันที่ อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมา เช่นเดียวกับ ข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิดเกิดในภพต่าง ๆ
อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจ คือ ความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วน ๆ ในกระท่อมกลางเขา
มีชาวป่าเป็นอุปัฏฐากดูแล ขณะที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้ แล้วเกิดความอัศจรรย์อยู่คนเดียวตอนสว่าง
พระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียว
กันกับพระอาทิตย์อุทัย ช่างเป็นฤกษ์งามยามวิเศษเสียจริง..”

หลวงปู่ขาว องค์ท่านเป็นพระมหาเถราจารย์ผู้ใหญ่ ศิษย์ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺตเถร หลวงปู่ขาว
ท่านมีนิสัยใจเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นในเป้าหมาย ความเพียรกล้าทั้งสามอิริยาบถ คือเดินจงกรมก็เก่ง เดินแต่ฉันเสร็จ
เข้าสู่ทางจงกรม ทำความเพียร ละหรือถอดถอนกิเลสประเภทต่าง ๆ
ที่เคยฝังจมอยู่ภายในใจสัตว์โลกไม่เคยบกบางเหมือนสิ่งอื่น ๆ มีเมตตาธรรมเป็นเลิศ สง่างามประดุจช้างสาร
ขออนุโมทนาบุญให้กับทุกท่านนะครับ...สาธุ


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 02, 2015, 12:52:16 PM
บาปก็อยู่ที่ใจ ใจนี่เป็นผู้ว่า จึงว่าให้อบรมใจ
มีสติสั่งสอนใจ อบรมนี่แหละ จะเอาภพเอาชาติก็แม่นใจนี่แหละ
จะเป็นวัวเป็นควายก็แม่นใจนี่แหละ ครั้นดับใจนี้ได้ มันก็มีแต่เย็น
มีแต่ความสุขเท่านั้น มันจะไปเกิดบ่อนใด
ก็แม่นจิตนี่แหละไปยึดไปถือ มันเจ็บมันปวดก็เพราะใจไปยึดไปถือ

ครั้นใจไม่ยึดไม่ถือแล้ว มันจะรู้จักการตาย รู้จักความตาย รู้จักมันดี
ถ้าใจไม่ยึด มันจะมีทุกขเวทนามาจากไหน ไม่มี ดับเวทนาดับสัญญาได้อยู่
ดับสังขารความปรุงได้อยู่ ดับวิญญาณความรู้ทางทวารทั้ง ๖ ได้อยู่
ของใครของมันจะมีตนมีตัว มันไม่มีตนมีตัว
แต่ว่ามันจำมันหมายว่าเจ็บนั่นเจ็บนี่ เวทนาก็พร้อมกันเกิดขึ้น
มันไม่มีตัวมีตน มันก็ดับไปอีก ดับก็จิตมันสงบนั่นแหละ
ครั้นจิตมันสงบแท้ ๆ ไม่มีคนหยังจะมาเจ็บอยู่นี่
จึงว่าให้อบรมจิตนั่นแหละ จิตสงบแล้วไม่มีผู้ใดเจ็บ คนบ่มี บ่อนตัวไม่มี
แล้วก็ไม่มีอะไรเจ็บแล้ว ครั้นบ่มีคนแล้ว เป็นหยังจะมาจำหมายนั่นอยู่
บัญญัติอยู่ก็รู้ว่าไม่มีคน บัญญัติทางตา หู จมูก ลิ้น ก็บ่มี บ่มีคน มันว่างม๊ดละ
ไม่มีอุปาทานแล้ว วางเสียก็มีความสุขนั่นแหละ จิตสงบ ให้ฝึกหัดจิต

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 02, 2015, 09:55:57 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20150302215459_luangpu_kao.jpg)

ในเบื้องต้น ให้ตรวจดู ทานบารมีก็ดี ศีลบารมีก็ดี เนกขัมมบารมีก็ดี
ตรวจดูมันอย่างไร อยู่ที่เราจะก้าวขึ้น ก้าวขึ้นชั้นสูง
ให้ทานสูงนั่นแหละเรียกว่าปรมัตถบารมี เลือดเนื้อชีวิตจิตใจนี่แหละ
ถวายบูชาพระพุทธเจ้า ถวายบูชาพระธรรม ถวายบูชาพระสงฆ์
ได้ชื่อว่าให้ทานสูง อันนี้ได้ชื่อว่าเป็น ปรมัตถทาน ปรมัตถบารมี
ให้ทานเลือดเนื้อ ไม่เห็นแก่ชีวิตจิตใจ
มุ่งหน้าทำความเพียรจนตลอดวันตาย เป็นทานบารมี ไม่ต้องหวงแหนมันไว้
ต้องให้มันทำความเพียร อย่าปล่อยให้มันชำรุดทรุดโทรมไป
มันมีแต่จะครั้นชำรุดทรุดโทรมไป เหมือนเรือคร่ำคร่า
นั่นแหละ มันมีแต่สลักหักพังไป
ครั้นมันเฒ่ามาแล้ว มันบำเพ็ญเพียรอีหยังบ่ได้ดอก
ยังหนุ่มยังแน่นตั้งใจทำความเพียรไป
ครั้นเฒ่าอย่างอาตมานี่ มันผ่านมาแล้ว
แม้จะแบกแต่กระดูกของตนก็จะตายแล้ว ปานนั้นมันก็บ่ยอมให้เขา
หอบมันอยู่นี่แหละกระดูก จะตายให้มันตายอยู่นั่น
ไม่ยอมหรอกเรื่องทำความเพียร เอามันจนตาย

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 02, 2015, 10:02:38 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20150302220207_luangpu_kao2.jpg)

จิตของพระอริยะเจ้า จิตของพระพุทธเจ้า ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม
มีลาภก็ไม่มีความยินดี เสื่อมลาภก็ไม่มีความยินร้าย
ความสรรเสริญ พระพุทธเจ้าก็บ่ตื่น นินทา
พระพุทธเจ้าก็บ่โศกเศร้าเสียใจ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ
จึงว่า มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ
มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เหล่านี้ แปดอย่างนี้
พระพุทธเจ้าและสาวก ไม่มีความยินดีและโศกเศร้า
ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความยินดี ยินร้าย กับอารมณ์แปดอย่าง
นี่ละ จึงว่าจิตประเสริฐ จิตเกษม

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 21, 2015, 06:00:29 AM
นราวพรรษาที่ ๑๖-๑๗ ณ เสนาสนะป่ากลางทุ่งนา บ้านโหล่งขอด หลวงปู่ขาวท่านได้นำเมล็ดข้าวยกขึ้นมาพิจารณาเป็นข้อธรรมจนพ้นทุกข์บรรลุธรรมชั้นสุดยอด โดยท่านเล่าว่า
“เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จออกจากที่พักไปสรงน้ำ ได้เห็นข้าวในไร่ชาวเขากำลังสุกเหลืองอร่าม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในขณะนั้นว่า ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิด-ตายอยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไป จะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลสอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ท่านคิดทบทวนไปมา โดยถืออวิชชาเป็นเป้าหมายแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง อนุโลมปฏิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา
นับแต่หัวค่ำจนดึกไม่ลดละการพิจารณาระหว่างอวิชชา กับ ใจ พอจวนสว่างจึงตัดสินใจกันลงได้ด้วยปัญญา อวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไรเหลือ การพิจารณาข้าวก็มายุติกันที่ข้าวสุก หมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิตก็มาหยุดกันที่อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมาเช่นเดียวกับข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิดเกิดในภพต่างๆ อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจคือความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วนๆ ในกระท่อมกลางเขา มีชาวป่าอุปัฏฐากดูแล ขณะที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้แล้ว เกิดความอัศจรรย์อยู่คนเดียว ตอนอรุณรุ่งพระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย ช่างเป็นฤกษ์งามยามวิเศษเสียจริง”

หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 21, 2015, 06:01:41 AM
อัตตภาพเป็นของกลาง ไม่ใช่ของใครทั้งหมด ก้อนใครก้อนเรา เป็นของได้มาอันบริสุทธิ์ เกิดมาชาตินี้ก็เป็นผู้สมบูรณ์บริบูรณ์ พ้นจากใบ้บ้าบอดหนวก เสียจริต มีร่างกายตาหูจมูกลิ้นกายใจสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว เราก็ควรพากันพิจารณาว่า เราเกิดมาชาตินี้ได้สมบัติอันสมบูรณ์แล้ว เราต้องเอามันทำประโยชน์เสีย เอากะในเสีย อย่าไปปล่อยให้มันแก่ขึ้นตายขึ้นซื่อๆ สมบัติอันนี้เป็นแต่ภายนอกเอานำมันเสีย เอาทรัพย์ภายใน เอาอริยทรัพย์ ทรัพย์อันติดตามตนไปได้ ทรัพย์สมบัติที่เราแสวงหาอยู่ในชาตินี้ ได้เป็นมหาเศรษฐีได้เป็นอิหยังก็ตาม เป็นของกลางหมด เป็นทรัพย์ภายนอกที่เราได้อาศัยมันชั่วชีวิตนี้เท่านั้น ครั้นขาดลมหายใจแล้ว สมบัตินี้ก็เป็นสมบัติของโลก อัตตภาพร่างกายนี้ก็เป็นสมบัติของโลก มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ
ประโยชน์ตนคือทำความเพียร คือทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิ จิตมันดีแล้วให้มันสงบเป็นสมาธิ ครั้นมันเป็นสมาธิแล้ว ทำให้มันแน่วแน่มีอารมณ์อันเดียวแล้ว ก็จิตนั่นแหละ มันจะเป็นดวงปัญญาขึ้นมา มันจะส่องแสง มันมีกระแสจิตพุ่งออกมา พิจารณากายอีก ซ้ำอีก มันก็จะเห็นชัด ครั้นมันสงบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ให้พิจารณาสัจของจริงทั้งสี่ สัจธรรมของจริง ของจริงของดีพระพุทธเจ้า ของพระสาวกผู้ได้ยินได้ฟังแล้วเห็นจริงอย่างนั้น จริงอย่างไร ดีอย่างไร ดีเพราะว่าเหมือนดังพระสาวก ท่านทั้งหลายเบื้องต้นก็เป็นปุถุชนนี่แหละ เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า พิจารณาตามเห็นตาม เห็นแล้วเกิดนิพพิทาในเบญจขันธ์ว่า มันไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงของใช้ ไม่ใช่ของเรา นี่แหละเห็นจริงชัดแล้ว ก็ละถอนปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้ปุถุชนเป็นพระอริยเจ้าได้ จึงว่าของจริง

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 21, 2015, 06:02:12 AM
ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ มันมาจากไหน ค้นขึ้นไปซิ เห็นแต่ว่ามาจากโง่นั่นแหละ
ดวงจิตเป็นผู้โง่ มันจึงต้องเป็น ต้องเดือนร้อน มันจึงใคร่ มันจึงปรารถนา
มันจึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่เพราะเกลียด เพราะชัง
มันชังมันก็ไม่อยากเป็น แล้วก็หาของมาแก้ไข หาคิดอีหยังมาทา
หนังเหี่ยวก็เอามาทา ลอกหนังออก มันได้กี่วัน มันก็เหี่ยวอย่างเก่า

หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 23, 2015, 09:35:47 PM
ในช่วงแรกของการมาพักบำเพ็ญภาวนา
ที่ "ถ้ำกลองเพล" หลวงปู่บอกว่า
ต้องอาศัยหญ้าคาเป็นที่รองนั่ง
ใช้ขอนไม้แทนหมอน
เอาบั้งทิง (ลำไม้ไผ่ทะลุข้อระหว่างปล้องออก)
ใช้แทนกระป๋องตักน้ำ
กุฏิวิหารก็อาศัยร่มไม้บ้าง ผาหินหรือถ้ำหินต่างๆ บ้าง
สำหรับภัตตาหาร ก็อาศัยตามแต่ชาวบ้าน
ศรัทธาเขาจะหาได้ มีน้ำพริกปลาร้ากับยอดผัก
เป็นอาหารหลักอาหารทิพย์เลยทีเดียว
ฉันแล้วไม่อืดท้อง ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
นอนน้อยแต่ทำความเพียรมาก
หลวงปู่ท่านบอกว่า "รวยลาภ" ก็คือ
ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ
ดวงตาแจ่มใส
ฌานัง อุทะปาทิ
รวยฌาน รวยสมาบัติ สมาธิภาวนา
ปัญญา อุทะปาทิ
รวยความกล้า ดวงปัญญา
ฆ่ากิเลสให้ตาย คลายกิเลสของเน่า
ให้หลุดพ้นถึงวิมุตติ พระนิพพาน
อาโลโก อุทะปาทิ
พระอาทิตย์ส่องแสงในกลางวัน
พระจันทร์ส่องแสงในราตรี
ส่วนดวงธรรมส่องแสงสว่างไสวทั่วโลก

จาก หนังสือหลวงปู่ขาว อนาลโย
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ หน้า ๓๑๐-๓๑๒


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 23, 2015, 09:36:09 PM
ความโลภเป็นเหตุให้คนทำกรรมชั่ว
ครั้นตายแล้วก็เป็นเหตุแห่งการตกนรก
พอพ้นนรกมาแล้วก็มาเป็นเปรต
เฝ้าทรัพย์สมบัติอันหวงแหนของตน
ที่เก็บเอาไว้ ฝังเอาไว้ เช่น
เปรตงูเหลือมนอนขดเฝ้าสมบัติมิได้ไปไหนมาไหน
ความโกรธทำให้คนเสียคน กลายเป็นคนชั่ว
เช่น ไปฆ่าคนเพื่อเอาทรพย์สมบัติ
เพื่อผ่อนคลายโทสะของตน
เผาบ้านเผาช่องบุคคลอื่น
บางคนทำบุญทำทานกันใหญ่โตมโหฬาร
แต่เสียเพราะความโกรธ ความมีโทสะ
ความโกรธไหม้กุศลผลบุญจนหมดสิ้น
เมื่อหมดบุญหมดกุศล บาปก็พลอยทวีคูณขึ้น
ผลทานก็หนี ผลศีลก็ไม่มี
ผลภาวนาก็หนีเข้าป่าไปหมด
ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรต แต่ไม่ใช่เปรตงูเหลือม
แต่กลายเป็นเปรตเสือเพราะความโกรธ
ตัวเป็นคน ปากมีหนวดเหมือนเสือ
ตีนมือเป็นเสือ เหมือนเสือจริงๆ
หลวงปู่เคยถามเขาว่า
"ทำไมหรือคุณโยมจึงมาเป็นเสือ
ทำบุญจนจะหมดตัวอยู่แล้ว?"
เปรตเสือ ตอบว่า
"ดิฉันโกรธมาก เมื่อความโกรธมันขึ้นมาอยู่ที่หน้าตา
ดิฉันมองไม่เห็นใครเลย ด่าพระด่าเจ้า
ด่าข้าทาสบริวาร ด่าลูกด่าหลาน ด่าผัวด่าลูก ด่าเชื้อด่าชาติ
ของที่เราเคารพนับถือมีคุณค่าแต่เก่าก่อนยกขึ้นมาด่าจนหมดสิ้น
เป็นเพราะความโกรธตัวเดียวทำให้ดิฉันหมดความดี
คือ อริยทรัพย์ ตายแล้วจึงเกิดมาเป็นเสือ
เสวยทุกขเวทนาเป็นเปรตเสืออยู่อย่างนี้แหละ"
เปรตแม่เสือกับเปรตงูเหลือมมันต่างกัน
คือ เปรตงูเหลือมมีทรัพย์เฝ้า ยังมีความสุข
และยินดีในทรัพย์สมบัติ แต่เปรตเสือไม่มีอะไรจะเฝ้า
เพราะความโกรธเผาหมด เผาทั้งหัวใจเปรตให้ร้อนดังไฟสุม

จาก หนังสือหลวงปู่ขาว อนาลโย
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๔ หน้า ๓๓๕-๓๓๖


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 29, 2015, 01:10:15 PM
กระต่ายน้อยร่วมเดินจงกรม

หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เล่าเรื่องที่ท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ที่บ้านปู่พระยา ดอยมูเซอร์ ว่า วันหนึ่ง
หลวงปู่ลงไปเดินจงกรมในเวลาพลบค่ำ ไม่ได้จุดโคมไฟแต่อย่างใด พอเดินไปสักครู่
ก็รู้สึกว่ามีสัตว์อะไรอย่างหนึ่ง มากระทบเข้ากับเท้าของท่าน ท่านไม่ได้ให้ความสนใจ ยังเดินจงกรมตามปกติ
ต่อมาอีกประเดี๋ยว สัตว์นั้นก็มากระทบเท้าของท่านอีก ท่านก็บอกด้วยความเมตตาว่า
“ระวังหนา ระวังหนา เดี๋ยวเรามองไม่เห็น เราจะเหยียบเจ้าหนา จะหาว่าเราไม่เตือน”
เมื่อสัตว์นั้นมากระทบเท้าท่านหลายครั้งเข้า จึงเอะใจว่า “เอ๊ะ ! มันอะไรกันแน่นะ”
หลวงปู่จึงเดินไปจุดโคมไฟขึ้น จึงเห็นเป็นเจ้าเชี่ยงเมี่ยง (กระต่ายน้อย)

หลวงปู่ถามด้วยความเมตตาว่า
“เจ้ามาเดินจงกรมกับเราหรือ”
ดูท่าทางมันน่ารักน่าเอ็นดู แสดงอาการตอบรับด้วยการยกเท้าหน้าทั้งสองขึ้น คล้ายกับประนมมือไหว้
หูทั้งสองข้างลู่ไปตามลำตัวอย่างน่าสงสาร มันไม่กลัวหลวงปู่เลย
หลวงปู่พูดกับเจ้าเชียงเมี่ยงน้อยว่า

“เจ้านี่ก็ดูดีกว่ามนุษย์บางคนอีกหนอ มาหัดเดินจงกรมกับเรา มนุษย์เขาว่าใจสูง เขาว่าเขาเก่งแล้ว
แต่เขาก็สู้เจ้าไม่ได้ เพราะบางคนเดินเป็น แต่เดินจงกรมภาวนาไม่เป็น”
หลังจากฟังหลวงปู่พูดแล้ว กระต่ายน้อยก็กระโดดออกจากทางเดินจงกรม ไปเล็มหญ้าหากินตามประสาของมัน
คืนต่อๆ มา เจ้ากระต่ายน้อยก็กระโดดออกจากทางเดินจงกรม กับหลวงปู่เป็นประจำ ดูมันมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้กับหลวงปู่

สมณานัญจะ ทัสสะนัง การได้เห็นสมณผู้สงบ ผู้สะอาด ผู้มีศีลอันบริสุทธิ์
ผู้ทรงไว้ด้วยเมตตาธรรม นับเป็นมงคลอย่างยิ่ง เอตัมมัง คะละมุตตะมังฯ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2872 (http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2872)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 29, 2015, 01:13:19 PM
บทเพลงลูกสาวพญานาค

การจำพรรษาของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ภูถ้ำค้อนั้น ท่านว่าได้ข้อธรรมอย่างมากเลยทีเดียว
การพิจารณาค้นคว้าธรรมไม่ติดข้อง มีความรู้แปลกๆ หลายอย่าง รู้ทั้งเรื่องของโลกและรู้ทั้งเรื่องของโลกทิพย์
หลวงปู่เล่าว่า คืนหนึ่งท่านเข้าที่บำเพ็ญภาวนา จิตสงบ ปรากฎว่าตัวของท่านได้ลงไปถึงชั้นบาดาล
หลวงปู่ถามว่า “เมืองอะไร ?”
มีเสียงพูดขึ้นว่า “นี่คือบาดาลพิภพ เมืองนาค”

หลวงปู่บอกว่า ขณะนั้นเห็นตัวท่านเองยืนอยู่บนก้อนหินอยู่กลางน้ำ น้ำในเมืองบาดาลไม่เหมือนกับน้ำในเมืองมนุษย์
กล่าวคือน้ำในเมืองบาดาลน้ำจะไหลผ่านกัน เช่นสายหนึ่งไหลไปทางทิศเหนือ อีกสายหนึ่งจะไหลไปทางทิศใต้สลับกัน
สายหนึ่งไหลไปทางตะวันออก อีกสายก็ไหลไปทางตะวันตก บางแห่งจะไหลเวียนขวากับเวียนซ้าย น่าแปลกประหลาดมาก
หลวงปู่เห็นก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มีลักษณะสวยงามมาก มีสาวงามซึ่งเป็นลูกของพญานาคยืนนิ่งอยู่
เธอสวยงามมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูราวกับนางฟ้าเทพธิดา แต่งตัวด้วยเครื่องทรงที่งดงามเหมือนในภาพที่วาดกัน

สาวน้อยหันหน้ามาทางหลวงปู่ เธอประนมมือและแสดงความคารวะ
แล้วทำการร่ายรำพร้อมกับขับร้องเป็นเพลงว่า “อะหัง นะเม นะเม นะวะชาตินะวะ” หลวงปู่จำเนื้อเพลงได้ดี
ลูกศิษย์เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า เพลงของลูกสาวพญานาคมีความหมายว่าอย่างไร ท่านบอกว่าให้แปลเอาเอง
หลวงปู่เคยเล่าเรื่องนี้ถวายสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน)
สมเด็จฯ ท่านก็ไม่แปลให้ฟัง พระองค์ท่านอยากฟังหลวงปู่แปลมากกว่า จึงนิมนต์ให้หลวงปู่แปลให้ฟัง
หลวงปู่บอกว่า “ผมไม่ได้มหาเปรียญ ไม่ได้เรียนศึกษาจะแปลได้อย่างไร”

สมเด็จฯ ท่านว่า “หลวงปู่เรียนทางในไตรปิฎก ผมเรียนทางนอกทางตำรา”
หลวงปู่จึงยอมแปลให้ฟัง ท่านพูดว่า “พูดตามที่เป็นมา ไม่ใช่ตำราอะไรนะ อะหัง ก็แปลว่าเรา ชาติใหม่ของเราไม่มีอีกแล้ว มีชาติเดียวเท่านี้”
แล้วหลวงปู่ก็ยิ้มระรื่นตามนิสัยอารมณ์ดีของท่าน แล้วถามสมเด็จว่า “ผมแปลแบบบาลีโคก แบบนี้ถูกหรือไม่”
สมเด็จฯ ท่านตอบว่า “หลวงปู่แปลได้ถูกต้องแล้ว”

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2872 (http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2872)


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 20, 2016, 08:16:03 AM
ลูกศิษย์ที่ได้ฟังต่างก็ตื่นเต้น และปลื่้มปิติไปตาม ๆ กัน เมื่ออยากรู้ว่าพระพุทธรูปองค์ใดในถ้ำกลองเพลกี่พรรษา
หลวงปู่ก็กรุณาชี้บอกว่าองค์นั้นเท่านี้พรรษานะ องค์นั้นเท่านั้นพรรษานะ
หลวงปู่อธิบายบอกชนิดที่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธรูปแต่ละองค์เป็นอย่างมาก ศิษย์รุ่นเก่าๆ จะทราบเรื่องเป็นอย่างดี
เมื่อศิษย์รุ่นหลังถามว่าทำอย่างไรพวกเขาจะได้รู้ได้เห็นเรื่องที่หลวงปู่เล่ามาได้บ้าง หลวงปู่ท่านตอบว่า "ก็มานอนเหมือนคนตาย แล้วมันจะรู้ปราสาทวิมานอะไร อยากได้ อยากรู้ อยากเห็นต้องนั่งภาวนา จึงจะเห็นของพรรค์นี้ จะมาบอกเล่ากันทั้งหมดเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า"
หลวงปู่ได้เมตตาสอนศิษย์่ต่อไปว่า

"ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ดี ถ้าอยากรู้อยากเห็นมันต้องทำเอาเอง พระธรรม ดวงธรรม
แสงสว่างทางแห่งความสุข วิมุตติ วิโมกข์ มันมีอยู่ในตัวเรา ขอจงลงมือทำ อย่ามัวแต่อยากเฉยๆ ไม่ประพฤติ ไม่ทำมันก็เหมือนคนตาบอดหลงทาง
พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีอยู่ทุกเมื่อ ใครกินผู้นั้นอิ่ม จะถามคนที่กินอาหารอิ่มว่ามันเป็นอย่างไร จะไปถามทำไม อาหารคือ ธรรมโอสถมีแล้ว เมื่อกิน คือลงมือปฏิบัติก็ไม่ต้่องถามดอก ถ้ามันถึงเมืองอ้อ เมืองพอ แล้วมันจะออกปากอุทานว่า ...อ๋อ!...เป็นอย่างนี้เอง!...


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 30, 2016, 09:53:22 PM
เรื่องเดินนี่มันเรื่องหัดสติ จะใช้นึกพุทโธ
ไปพร้อมกันกับเท้าที่ก้าวไปก็ได้ ยังไงก็ได้
อย่าให้จิตมันออกไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งอดีตและอนาคต
ให้อยู่ที่จิตเท่านั้น อาตมากำหนดพุทโธๆ อยู่ที่จิต เท้าก็เดินไป
กำหนดอยู่ที่จิต ไม่ให้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใดๆ
ส่วนทางเดินจงกรม ก็ไม่เลือกทิศเลือกทาง ได้หมด
แล้วแต่มันจำเป็น ในที่เหมาะสม เดินไปเพื่อแก้ทุกข์เวทนา
ท่านอาจารย์มั่น ท่านว่าให้เดินตัดกระแสของโลก
จากทิศตะวันออกไปตะวันตก ท่านว่าตัดกระแสของสมุทัย
ให้ตัดกระแส แต่ถ้ามันจำเป็น มันยังไม่มีบ่อนที่เหมาะสม ก็ไม่เป็นไร
เดินมันไปอย่างนั้นเพื่อแก้ทุกขเวทนาดอก
.
หลวงปู่ขาว อนาลโย


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 10, 2016, 08:19:29 PM
หลวงปู่ขาว อนาลโย
หลวงปู่มั่น ได้เทศน์ในสมาธิขององค์หลวงปู่ขาวต่อไปว่า
"ท่านเอง (หลวงปู่ขาว) กำลังจะเป็นอาจารย์ของคนจำนวนมาก จึงควรทำกรุยหมายที่ถูกต้องดีงามไว้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ผู้ดำเนินตามจะไม่ผิดหวัง
ความเป็นอาจารย์คนนั้นสำคัญมาก จึงควรพิจารณาด้วยดี
อาจารย์ผิดเพียงคนเดียว อาจพาคนอื่นๆผิดไปด้วยจำนวนมากมาย"
"อาจารย์ทำถูกเพียงคนเดียว ก็สามารถนำผู้อื่นให้ถูกด้วยไม่มีประมาณเช่นเดียวกัน
ท่านควรพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นอาจารย์ของคนจำนวนมากให้รอบคอบ เพราะคนอื่นจะมีทางเดินโดยสะดวกราบรื่น
ไม่ผิดพลาดเพราะความยึดเราเป็นอาจารย์สั่งสอน"


หัวข้อ: Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 23, 2017, 08:22:27 AM
(http://www.kammatan.com/th/wp-content/uploads/2017/11/หลวงปู่ขาว.jpg)

"พึ่งร่างกาย กายก็แตก พึ่งน้ำในกาย น้ำก็สลาย พึ่งไฟในกาย ไฟก็กระจาย
กายทั้งร่างมีแต่เรื่องแตกกระจาย แล้วจะพึ่งอะไร? พึ่งบ้าน บ้านก็จะพัง พึ่งสมบัติเงินทอง ก็ล้วนแต่สิ่งจะพังทลาย
ยังเพลินเมามัว มั่วสุมอยู่หรือ? มนุษย์เราตัวฉลาดแท้ๆ ไม่สมควรกับความเป็นดังที่กล่าวมา
ความดีมีอยู่ แสวงหาซิมนุษย์ทั้งหลาย ท่านหาความดีได้ ทำไมเราหาไม่ได้? เวลาไพล่ไปหาความเลวทรามต่ำช้า ทำไมหาได้?
สิ่งเหล่านั้นมันวิเศษวิโสอะไร? ถ้ามันพาคนให้วิเศษ มนุษย์พากันวิเศษเลิศโลกไปนานแล้ว
ไม่จมปลักดังที่เห็นกันอยู่นี้เลย จึงไม่ควรเพลิดเพลิน ไม่ควรมัวเมา ไม่เข้าเรื่องอยู่เปล่าๆ อะไรดี มีสาระ รีบแสวงหา"
หลวงปู่ขาว อนาลโย