KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า => ประวัติของพระพุทธสาวก สมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: samarn ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 03:36:57 PM



หัวข้อ: พระอชิตเถระ
เริ่มหัวข้อโดย: samarn ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 03:36:57 PM
    ท่านพระอชิต เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี เดิมชื่อว่า อชิตมาณพ เมื่ออายุสมควรแก่การเล่าเรียนแล้ว มารดาบิดาได้นำไปฝากให้เป็นศิษย์ เล่าเรียนศิลปะในสำนักของพราหมณ์พาวรีผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อพราหมณ์พาวรีคิดเบื่อหน่ายในฆารวาสวิสัย จึงได้ถวายบังคมลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากหน้าที่ปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ ฝั่งแม่นำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะและอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมูศิษย์ อชิตมาณพพร้อมกับมาณพอื่น ๆ ได้ออกบวชติดตามด้วย และอยู่ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรีนั้น

     ต่อมาพราหมณ์พาวรี ได้ทราบข่าวว่า พระสิทธัตถราชกุมาร ผู้เป็นราชโอรสของพระเจ้าศากยะทรงผนวช ปฏิญาณพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนประชาชน มีคนเชื่อและเลื่อมใสยอมเป็นสาวกปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นจำนวนมาก พราหมณ์พาวรีมีความประสงค์จะทราบข้อเท็จจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวด ให้ไปลองกราบทูลถามดู อชิตมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คนลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์ แล้วพากันไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ กราบทูลขอโอกาสถามปัญหาคนละหมวด เมื่อพระบรมศาสดาทรงประทานอนุญาตแล้ว อชิตมาณพผู้เป็นหัวหน้าจึงกราบทูลปัญหาชุดแรก ๔ ข้อ ว่า

อชิตมาณพ : โลกคือหมู่สัตว์อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในความมืด เพราะอะไรเป็นเหตุจึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ พระองค์ว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และอะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น

พระบรมศาสดา : โลกคือหมูสัตว์อันอวิชชา คือความไม่รู้แจ้งปิดบังไว้ จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่าง ๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และเรากล่าวว่าทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น

อชิตมาณพ : ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เครื่องปิดกั้นความอยาก ซึ่งเป็นดุจกระแสน้ำหลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้เพราะธรรมอะไร

พระบรมศาสดา : เรากล่าวว่า สติเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องป้องกัน ความอยากนั้นจะละได้เพราะปัญญา

อชิตมาณพ : ปัญญา สติ กับนามรูปนั้นจะดับไป ณ ที่ไหน ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอกข้อความนี้แก่ข้าพระองค์

พระบรมศาสดา : เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึงที่ดับของนามรูปทั้งหมดไม่มีเหลือแก่เธอ เพราะวิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับได้ ณ ที่นั้นเอง

อชิตมาณพ : ชนผู้ได้เห็นธรรมแล้ว (บรรลุมรรคผล) และชนผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ สองพวกนี้มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก ข้าพระองค์ขอกราบทูลถามถึงความประพฤติของชนพวกนั้น พระองค์มีปัญญาแก่กล้า ขอพระองค์ตรัสบอกแก่ข้าพระองค์

พระบรมศาสดา : ภิกษุผู้ได้เห็นธรรมแล้ว และชนผู้ต้องศึกษาอยู่ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกามทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอิรอยาบท

     ครั้นสมเด็จพระบรมศสดา ทรงพยากรณ์ปัญหาที่อชิตมาณพกราบทูลถามอย่างนี้แล้ว ในที่สุดแห่งการแก้ปัญหา อชิตมาณพก็ได้สำเร็จพระอรหัตตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อจบโสฬสปัญหาพยากรณ์แล้ว อชิตมาณพพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน กราบทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาต ให้เป็นภิกษุด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระอชิตะดำรงชนมายุอยู่โดยสมควรแก่กาลก็ดับขันธปรินิพพาน