หัวข้อ: สติปัฏฐาน 4 คืออะไร (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ธันวาคม 28, 2007, 04:38:40 pm สติปัฏฐาน... (ระบบค้นหา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์)
1.ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสติ, 2.ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน, 3.การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทัน ตามความเป็นจริง, 4.การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมันไม่ถูกครอบงำ ด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส" ในหมู่นักปฏิบัติมักได้ยินคำว่าสติปัฏฐานอยู่บ่อยๆ ก็พอรู้นะคะ ว่าเกี่ยวกับการเจริญสติ เพราะหลวงพ่อก็เทศน์ให้ฟังอยู่บ้าง ก็รู้นะคะ ว่าสติปัฏฐานก็คือสตินั่นแหละที่มีอยู่ 4 อย่างไง พอมาเปิดพจนานุกรมดู เจอความหมายก็เห็นว่าที่ว่ารู้น่ะ ไม่รู้ต่างหาก ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเป็นคำพูดสื่อสารกันได้อย่างไร เข้าใจแบบบื่อๆ อธิบายไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ ก็อาจเสียโอกาสไปหน่อย มาดูตามความหมายในวรรคแรก ของ สติปัฏฐาน ท่านว่า คือ"ธรรมที่เป็นที่ตั้งของสติ" ธรรมก็มีความหมายหลายอย่างด้วย ธรรมจะหมายถึงสภาพที่ทรงไว้,ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; อย่างหนึ่งหรือ เหตุ, ต้นเหตุ; อย่างหนึ่ง หรือ สิ่ง, ปรากฏการณ์,ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; อย่างหนึ่ง หรือ คุณธรรม, ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; อย่างหนึ่ง หรือ หลักการ,แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่;อย่างหนึ่ง หรือ ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแสดงธรรมให้เปิดเผยปรากฏขึ้น ก็ได้" ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถเป็นเครื่องมือให้สติดำรงอยู่ ทรงอยู่ได้ คือสติเป็นประธาน ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ ทรงอยู่ในธรรมใดๆก็ตามที่แจกแจงไว้นั้น อีกความหมายหนึ่งคือ "ข้อปฏิบัติมีสติเป็นประธาน" ส่วนนี้เริ่มมีการแสดงออกทางกายคือมีการกระทำต่อเนื่องออกมา จากข้อแรกใจนั้นดำรงอยู่ในธรรมก่อน ขั้นต่อมาเมื่อมีการแสดงออกทางกาย มีการประพฤติทางกายก็ยังคงดำรงกิจนั้นไปโดยมีสติเป็นประธานอยู่ แสดงให้เห็นว่าทั้งในด้านนามธรรมและรูปธรรมนั้น ต้องพึ่งมีสติอยู่ตลอด ถ้าขาดสติเป็นประธานแล้วก็ไม่เรียกว่าเป็นสติปัฎฐาน เพราะฉะนั้นหากเราเผลอทำสิ่งใดไป หรือเผลอไปไม่มีสติตั้งอยู่ในธรรมอันใดอันหนึ่งแล้ว ก็เรียกไม่ได้ว่าขณะนั้นเราเจริญสติปัฏฐานอยู่ ความหมายต่อมาคือ "การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง" ข้อนี้เป็นการขยายความให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า การดำรงอยู่ของสติในธรรมนั้นไม่ได้ตั้งอยู่แบบทื่อๆ ไม่ชวนให้เกิดปัญญา การตั้งอยู่ของสตินั้นมีการพิจารณาตริตรองสิ่งทั้งหลาย ให้เท่าทันตามความเป็นจริง คือไม่ได้เอื้อมแตะ แทรกแซงใดๆกับการรู้เห็นนั้น สืบเนื่องให้มีการขยายความในประโยคถัดมาว่า "การมีสติกำกับดูสิ่งต่างๆ และความเป็นไปทั้งหลาย โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมันไม่ถูกครอบงำ ด้วยความยินดียินร้าย ที่ทำให้มองเห็นเพี้ยนไปตามอำนาจกิเลส" เมื่อเรามีสติดำรงอยู่ในธรรม รู้เห็นตามความเป็นจริง แล้วก็จะรู้ทันตามสภาวะของมัน โดยไม่ถูกครอบงำ เราจะไม่หลงยินดียินร้ายไปกับสภาวะนั้น เพราะถ้าเราหลงไปเพียงเล็กน้อยไปยินดียินร้ายก็จะทำให้เราเห็นสภาวะนั้น อย่างไม่เป็นกลาง ผิดเพี้ยนไปตามอำนาจของกิเลสได้ ดังนั้นถ้าเราเจริญสติแล้วหลงไปแทรกแซง กดทับสภาวะที่เกิดขึ้น ขณะนั้นก็เรียกไม่ได้ว่าเราเจริญสติปัฏฐานอยู่ ขอขอบคุณที่มา : http://www.wimutti.net (http://www.wimutti.net) ++++++++++++++++++++++++++++++++++ + ขอน้อมนำ ไปปฏิบัติน่ะครับ golfreeze[at]packetlove.com ;) ++++++++++++++++++++++++++++++++++ |