หัวข้อ: พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าทรงพยาบาล เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 15, 2012, 07:58:37 PM (http://www.kammatan.com/gallary/images/20121005112824_ajan_mahabua.jpg)
เรื่องที่ ๗ พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าทรงพยาบาล พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดนํ้าเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน บุพกรรมของพระติสสะ "..ในสมัยพระพุทธกัสสป ท่านติสสะ เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำ คือยิงนกมาแล้วก็แกงขายบ้าง ขายเป็นบ้าง ขายตายบ้าง ถ้าวันไหนได้นกมามาก ขายวันนั้นไม่หมดก็หักแข้งหักขา หักกระดูกปีก เกรงว่านกจะบินหนีไป เอาไว้ขายสดๆ ในวันพรุ่งนี้ ท่านทำอย่างนี้มาตลอดกาล คำว่าบุญกุศลไม่เคยทำเลย ต่อมาวันหนึ่งก่อนที่ท่านจะไปหานกในตอนเช้า วันนั้นบังเอิญพระอรหันต์มาบิณฑบาตองค์เดียว ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ ก็คิดในใจว่าในชีวิตของเราทั้งชีวิตขึ้นชื่อว่าการทำความดีที่จะทำบุญกุศลไม่เคยมีในเรา เรามีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกวัน วันนี้ขอทำบุญตอนเช้า เมื่อเห็นพระเดินมาก็ออกไปรับบาตรกล่าวคำนิมนต์ แล้วก็นำพระเข้าบ้าน สั่งแม่บ้านแกงนกที่มีอยู่ให้แกงอย่างดีที่สุด เมื่อแกงเสร็จก็นำมาใส่บาตรพระ พระท่านก็ให้พรแล้วท่านก็กลับ หลังจากนั้นมาท่านก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดมา เป็นอันว่าในชีวิตของท่านทำบุญครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการบังเอิญทำบุญกับพระอรหันต์ซึ่งมีอานิสงส์มาก แต่ไม่เท่าสังฆทาน ก่อนที่จะตายท่านก็นึกถึงการทำบุญ ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ครั้นหมดบุญวาสนาบารมี ในสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านก็กลับมาเกิดเป็นคน อาศัยที่เคยทำบุญทำกุศลมาแล้วครั้งเดียวในชีวิต คือถวายทานกับพระอรหันต์ จึงไปพบพระพุทธเจ้าเข้ามีความเลื่อมใส ตั้งใจฟังเทศน์ เมื่อฟังเทศน์จบก็มีจิตเลื่อมใสอยากจะบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเห็นวิสัยว่าเขาจะเป็นอรหันต์ได้ จึงอนุญาตให้บวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็เจริญฌานสมาบัติแต่ว่ายังไม่ได้ฌานโลกีย์ ท่านก็เกิดอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นในร่างกาย ตามตัวมีการพุพองเม็ดเล็กๆ ตลอดทั้งตัว ต่อไปการพุพองเม็ดเล็กๆ ก็โตขึ้นๆ จนกระทั่งเท่าผลส้ม ในที่สุดก็แตกมีนํ้าเหลืองรอบตัว กระดูกต่างๆ ในร่างกายก็หัก มีทุกขเวทนามาก พระที่พยาบาลอยู่เห็นเข้าก็ทนไม่ไหวจึงทิ้ง เพราะท่านขยับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตายกันแน่แล้ว คืนวันนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ว่า วันพรุ่งนี้จะมีใครได้บรรลุมรรคผลบ้าง ก็ทรงทราบว่าพระติสสะเวลานี้ป่วยหนักและการตายของเธอจะเข้ามาถึงในวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไปสงเคราะห์เธอ เธอจะได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพาน ฉะนั้นในตอนเช้าพอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกจากพระมหาวิหารเดินเรื่อยๆ ไปไม่บอกใคร เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเห็นพระพุทธเจ้าเดินก็เดินตาม พอไปถึงกุฏิของ พระติสสะ พระองค์ก็แวะเข้าไปเห็นนํ้าเหลืองไหลเกรอะเปื้อนผ้า ก็ทรงเปลื้องผ้าทั้งหมดเอาไปจะต้มนํ้าร้อน พระทั้งหลายก็รับอาสาว่า การต้มให้นํ้าเหลืองหมดเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เอาผ้ามาชุบนํ้าอุ่นๆ เช็ดร่างกาย พระติสสะ จนกระทั่งนํ้าเหลืองแห้ง ร่างกายก็มีอาการปลอดโปร่ง ผ้าที่เอาไปต้มนั้นก็แห้งพอดี พระพุทธเจ้าก็สั่งให้นุ่งผ้าให้ พระติสสะ พระก็ห่มให้ แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้างๆ บอกว่า "ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์" หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงสั่งให้พระสงฆ์ทำฌาปนกิจศพคือเผาศพ แล้วก็ให้ทำสถูป หมายความว่าพูนดินขึ้นมาคล้ายๆ กับบาตรควํ่าเป็นโคกพูนไว้เอากระดูกไว้ในนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเข้ามากราบทูลถามว่า "เวลานี้พระติสสะตายแล้วไปไหน" พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "พระติสสะ ตายจากความเป็นคนไปนิพพานแล้ว" พระทั้งหลายจึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "อยากจะทราบว่าพระติสสะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เมื่อไร" พระองค์ก็ตรัสว่า "พระติสสะ เป็นพระอรหันต์เมื่อเราพูดจบ" บรรดาพระทั้งหลายก็เลยถามว่า "พระติสสะ ทำบุญอะไรไว้จึงเป็นอรหันต์ง่าย" พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า "ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป พระติสสะ ทำแต่บาปอย่างเดียวไม่เคยทำบุญ หมายถึงทำบุญอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ไม่เคยทำ มีหน้าที่ยิงนกดักนกเอามาขายแก่ชาวบ้าน ถ้าวันไหนนกเหลือมาก ตัวไหนมันใกล้จะตายก็ย่าง นกย่างขายได้ราคาถูกกว่านกเป็นๆ ถ้านกเป็นๆ มีมากเกินไปก็เกรงว่านกจะบินหนีก็หักกระดูกแข้งเสียบ้าง หักกระดูกปีกเสียบ้าง ผลอันนี้เป็นปัจจัยให้ท่านติสสะเมื่อบวชเข้ามาแล้ว จึงมีร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว และตุ่มนั้นค่อยๆ โตมาทีละน้อยจนกระทั่งแตกเป็นนํ้าเหลืองเยิ้ม และกระดูกร่างกายที่หักก็เพราะเคยหักกระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกปีกนก เพราะกฎของกรรมอย่างนี้มาสนอง แต่อาศัยที่พระติสสะได้ ทำบุญกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะอานิสงส์นี้เองทำให้พระติสสะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เมื่อตถาคตเทศน์จบ" เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่ายๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า "นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง" ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้ มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น.." ขอบพระคุณข้อมูลจาก : http://www.luangporruesi.com/642.html หัวข้อ: Re: พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าทรงพยาบาล เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 21, 2013, 03:23:16 PM (http://www.kammatan.com/gallary/images/20131121151908_buddha_2.jpg)
"อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวี อธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ ไม่นานเลย กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน กายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณอันเขาทิ้งแล้ว ก็เหมือนท่อนไม้อันไร้ประโยชน์" เรื่องพระปูติคัตตติสสะที่มีกายเน่าเช่นกัน แต่ดูของพระติสสะนี่จะเป็นตุ่มน้ำเหลือง ตุ่มใหญ่กว่า เหม็นคละคลุ้งเกรอะกรังมากกว่าจนพระสงฆ์ในอาราม ต่างหนีตีตัวออกห่างไปนอกสำนัก ทำให้พระบรมศาสดา ผู้เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เข้ามาผลัดเปลี่ยนผ้า อาบน้ำถูตัวของพระสาวกด้วยองค์ท่านเอง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้เป็นแบบอย่างในการดูแลภิกษุอาพาธ ให้พระสาวกในภายหลังได้สำนึกถึงผู้ไม่มีบ้าน ออกจากเรือน อาศัยข้าวจากการบิณฑบาต จะต้องหมั่นดูแลซึ่งกันและกัน จึงขอนำเรื่องราวดังกล่าวมาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้น้อมรำลึกเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ และมรณานุสติ กันครับ "พระปูติคัตตติสสเถระ ผู้มีกายเน่าเปื่อย" สมัยหนึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี มีกุลบุตรคนหนึ่งเป็นชาวเมืองนามว่า "ติสสะ" มีศรัทธาได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าในวาระแรก ก็มีความเลื่อมใส ตั้งใจถวายตนในพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้วก็ขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา เมื่อบวชเป็นพระแล้วไม่นานนัก ก็มีกำลังขึ้นฌานโลกีย์ ทรงตัวได้บ้าง ทรงตัวไม่ได้บ้าง กำลังยังไม่มั่นคง ต่อมาโรคร้ายก็ปรากฏกับร่างกายของท่าน มันเป็นตุ่มเล็กๆนิดๆทั่วตัว ต่อมาเจ้าตุ่มนั้นก็โตขึ้นเท่าเม็ดถั่วเขียว จากเม็ดถั่วเขียวเท่าเม็ดถั่วเหลือง จากเม็ดถั่วเหลืองก็เท่าผลส้ม หนักๆเข้าก็โตเท่าผลมะตูมกระจายเต็มตัวไปหมด พอเม็ดต่างๆพองใสโตเท่ามะตูมมันก็แตก แตกทั้งหมดเป็นน้ำเหลืองเยิ้มทั้งร่างกาย ท่านก็ลุกไม่ไหว บรรดาพระทั้งหลายก็ปฏิบัติตามกำลัง ต่อมาไม่ช้าไม่นานนักกระดูกของท่านก็แตก ผ้าก็เลอะเทอะไปด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง บรรดาพระสงฆ์หมู่เพื่อน สัทธิวิหาริกทั้งหลายปฏิบัติไม่ไหว เมื่อปฏิบัติไม่ไหวก็พากันทิ้ง ปล่อยให้ท่านนอนรอความตาย เวลาเช้ามืดวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรวจดูอุปนิสัยของสัตวโลก เรื่องของพระติสสะเถระเข้ามาในข่ายพระญาณของพระองค์ พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงทรงเสด็จออกจากวิหารของพระองค์ ไปเยี่ยมพระติสสะที่กุฏิ ทรงดำริว่า “นอกจากตถาคตเสียแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่เธอได้” จึงเสด็จไปสู่โรงไฟ ทรงล้างหม้อ ตั้งเตา รอให้น้ำร้อน แล้วเสด็จไปจับที่ปลายเตียงที่พระเถระนอน ทรงเปลื้องจีวรที่ห่มอยู่ ไปขยำด้วยน้ำร้อน พระศาสดาทรงอุ้มพระติสสะทางศีรษะ พระอานนท์มาช่วยยกที่ปลายเท้าไปไว้ที่ลานโล่ง พระองค์ทรงราดรดสรีระด้วยน้ำอุ่น ถูสรีระของพระติสสะ แล้วท่านก็เอาผ้าผืนหนึ่งไปชุบน้ำร้อนมาค่อยๆเช็ดตัวของพระติสสะที่น้ำเหลืองเกรอะกรังทั้งตัว เช็ดจนกระทั่งน้ำเหลืองแห้งหมด ร่างกายสะอาดเมื่อจีวรแห้ง พระศาสดาทรงช่วยเธอให้ห่มจีวร ทรงขยำผ้าสบงที่พระเถระนุ่งแล้วผึ่งแดด เธอนุ่งผ้ากาสาวะผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เวลานั้นพระติสสะเป็นผู้มีสรีระเบา มีอาการปลอดโปร่งขึ้นมา จิตหยั่งลงสู่เอกัคคตารมณ์ มีจิตที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเป็นคาถาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” แปลความว่า “ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน ปราศจากวิญญาณเหมือนกับท่อนไม้ อันบุคคลทิ้งแล้วหาประโยชน์มิได้” จบพระธรรมเทศนา พระติสสเถระบรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ แล้วก็นิพพานทันที เมื่อพระเถระนิพพานแล้ว พระศาสดาทรงให้จัดฌาปนกิจสรีระของท่าน ทรงเก็บอัฐิธาตุ แล้วโปรดให้สร้างสถูปบรรจุไว้ ภิกษุทั้งหลายสงสัยทูลถามพระศาสดาว่า "ภิกษุผู้มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตเช่นนี้ เหตุไรจึงมีร่างกายเปื่อยเน่า และกระดูกแตก" พระศาสดาตรัสตอบว่า เป็นผลอันเกิดแต่อดีตกรรม ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "พระกัสสปพุทธเจ้า" พระติสสะเป็นพรานนก ฆ่านกบำรุงอิสรชน คือรับจ้างฆ่านกให้คนใหญ่คนโต นกที่เหลือก็เอาขาย นกที่เหลือจากขายก็หักปีกหักขาเก็บไว้ เพราะคิดว่า ถ้าฆ่าแล้วเก็บไว้มันจะเน่าเสียหมด ตนต้องการบริโภคเท่าใดก็ปิ้งไว้ นกที่เขาหักปีกหักขาไว้นั้นขายในวันรุ่งขึ้น วันหนึ่ง เมื่อโภชนะอันมีรสดีของเขาสุกแล้ว เขากำลังเตรียมบริโภค พระขีณาสพองค์หนึ่งมาบิณฑบาตหน้าบ้าน เขาเห็นพระแล้วคิดว่า "เราได้ฆ่าสัตว์มีชีวิตเสียมากมายแล้ว บัดนี้ พระมายืนอยู่หน้าเรือน โภชนะอันดีของเราก็มีอยู่ เราควรถวายอาหารแก่ท่าน" เขาคิดดังนั้นแล้ว ได้รับบาตรพระใส่โภชนะอันมีรสเลิศจนเต็มบาตรแล้วถวายบิณฑบาตนั้นไหว้พระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอข้าพเจ้าพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วด้วยเถิด" พระเถระอนุโมทนาว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด" "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" พระศาสดาตรัสในที่สุด " ผลทั้งหมดได้เกิดแก่ติสสะเพราะกรรมของเขาเอง เพราะทุบกระดูกนก จึงยังผลให้มีร่างกายเปื่อยเน่า กระดูกแตก อาหารบิณฑบาตที่ถวายแก่พระขีณาสพ และอธิษฐานเพื่อธรรมยังผลให้เธอบรรลุธรรม คือพระอรหัตผล ภิกษุทั้งหลาย กรรมที่บุคคลทำแล้วย่อมไม่ไร้ผล" "อายุ อุสฺมา จ วิญฺญาณํ ยทา กายํ ชหนฺติมํ อปวิฏฺโฐ ตทา เสติ เอตฺถ ลาโร น วิชฺชติ เมื่อใด อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ได้ทิ้งกายนี้เสียแล้ว เมื่อนั้น กายนี้ก็ถูกทอดทิ้งนอนอยู่ จะหาสาระใดใดในกายนี้ไม่มีเลย" ท่อนไม้ด้วยซ้ำไป ยังมีสาระประโยชน์ในการหุงต้ม หรือทำทัพสัมภาระอย่างอื่นได้ แต่กายนี้ทำอย่างนั้นไม่ได้ มีแต่เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและแร้งกา เมื่อตายแล้ว คนที่เคยรักใคร่ก็ไม่ปรารถนาที่จะจับต้อง วิญญาณ หรือจิตจึงเป็นแกนสำคัญให้ร่างกายนี้พอมีค่าอยู่ ปราศจากวิญญาณนี้เสียแล้ว กายนี้ก็กลายเป็นของไร้ค่าทันที คำว่า "ปูติคัต” แปลว่าเน่า ชื่อของพระเถระจึงถูกเรียกว่า”พระปูติคัตตติสสะเถระ” ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB : ท่องถิ่นธรรม พระกรรมฐาน |