KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับธรรมะ ที่พุทธศาสนิกชนควรทราบ เพื่อเข้าใจในสัมมาทิฏฐิ => ข้อความที่เริ่มโดย: DOUNGCHAN ที่ มกราคม 11, 2011, 08:23:26 PM



หัวข้อ: คำว่ารู้ช่วยขยายความนิดหนึ่งครับ
เริ่มหัวข้อโดย: DOUNGCHAN ที่ มกราคม 11, 2011, 08:23:26 PM
......รู้ในความหมายของผม.....
1.สงสัยก็รู้ว่าสงสัย...งงก็รู้ว่างง...คิดก็รูว่าคิด...ฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟู้งซ่าน...แค่นี้หรือเปล่าครับเพราะคำว่า...ศีล...สมาธิ..ผมพอเข้าใจครับ..
             แต่คำ...ปัญญา..ในภาษาธรรมผมยังไม่เข้าใจ...เข้าใจ.ปัญญา.ในภาษาทางโลก..เท่านั้น..ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: คำว่ารู้ช่วยขยายความนิดหนึ่งครับ
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มกราคม 12, 2011, 09:16:58 AM
......รู้ในความหมายของผม.....
1.สงสัยก็รู้ว่าสงสัย...งงก็รู้ว่างง...คิดก็รูว่าคิด...ฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟู้งซ่าน...แค่นี้หรือเปล่าครับเพราะคำว่า...ศีล...สมาธิ..ผมพอเข้าใจครับ..
             แต่คำ...ปัญญา..ในภาษาธรรมผมยังไม่เข้าใจ...เข้าใจ.ปัญญา.ในภาษาทางโลก..เท่านั้น..ขอบคุณครับ

ปัญญาในทางธรรม คือ รู้เห็น สภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราตามความเป็นจริง จนเราไม่ได้เข้าไปปรุงแต่ง คอยดูจนสภาวะดับไป ถ้าไม่ได้เข้าไปปรุงต่อ ก็ไม่ได้สร้าง ภพ ไม่ได้สร้างชาติ ก็ไม่เกิดเป็นความทุกข์ขึ้นมาครับผม ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คล้ายกับการ หยดน้ำลงแก้ว หยดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำเต็มแก้ว ก็จะมีปัญญาเต็มตามลำดับขั้น ต่อไปครับ

สำหรับปัญญา ขั้นแรก จะละ 3 สังโยชน์คือ

1.มีปัญญาละ  สักกายทิฏฐิ คือ ละความยึดถือว่ากายใจ เป็นของเรา

2.มีปัญญาละ  วิจิกิจฉา คือ ละความลังเล สงสัยในธรรม

3.มีปัญญาละ  สีลัพพตปรามาส คือ ไม่ถือศีลบำเพ็ญพรต แบบงมงาย

ลองหาอ่านเรื่อง ปฏิจสมุทปบาท ด้วยก็ได้ครับจะได้เข้าใจ การก่อตัวของ กิเลส ตัณหา จนทำให้เกิดทุกข์ที่ใจ เราขึ้น ถ้าท่านเห็น หรือ รู้ทันก็เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ครับผม


หัวข้อ: Re: คำว่ารู้ช่วยขยายความนิดหนึ่งครับ
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ มีนาคม 17, 2011, 03:17:44 PM
ปัญญาทางธรรม

คือการมีสติรู้ว่า เรื่อง 4 เรื่อง คือ
1.กาย(ร่างกายของเรา) 
2.เวทนา(ความสุข ทุกข์ เฉย)
3.จิต(ที่รวมกับเจตสิก ที่สำคัญคือความคิด)
4.และ อารมณ์ (พอใจ ไม่พอใจ เบือหน่าย ฟุ้งซ่าน และสงสัย)


ท้ง 4 ล้วน เข้ากฏของพระไตรลักษณ์  อย่างแน่นอน คือ เป็นทุกข์ทนอยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงเสมอ และ เราไม่สามารถบังคับได้เลย(โดยสิ้นเชิง เพราะมันเป็นธรรมชาติ)

ท่าน มีสติรู้ไหมละว่า

1.ร่างกายแม้นั่งนิ่งๆ ไม่หายใจเพราะดิ่งลึกในฌาน ทั้งร่างยังต้องเดินทางไปในมิติของเวลา(มิติที่4 เมื่อ ร่างกายมี 3มิติ คือ กว้าง ยาว หนา)
2.เวทนา ความสุข ทุกข์  เฉย มันผ่านเข้ามา อาจอยู่ด้วย แป๊บ นึง หรือ ยาวนาน เดี๋ยว มันก็ ผ่านไป อีกแล้ว (จบไปอีกเวทนานึง)

เรื่องจิต และอารมณ์  ก็เป็นไปในทำนอง นี้ นี้ นี้ นี้

มีอะไรให้เรายึดว่าเป็นเรา  ทั้งร่างกาย  และใจนี้ 

เมื่อรู้แล้วด้วย ญาน (จิต ไม่ใช่สัญญาหรือ ความจำ หรือ ความคิดแล้ว)   จะเกิด อาการเบือหน่าย  คลายกำหนัด ความรักใคร่

ในกาย และใจ(กองขันธ์ ทั้ง 5 นี้ ที่มาประกอบกัน ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ)

ของเรา ไม่ใช่ไปเบื่อหน่าย ของคนอื่น เค้า  ;D




หัวข้อ: Re: คำว่ารู้ช่วยขยายความนิดหนึ่งครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ มีนาคม 18, 2011, 12:25:44 AM
ศีล สมาธิ ปัญญา

ปัญญา ในการหลุดพ้นออกจากสังสารวัฏ


หัวข้อ: Re: คำว่ารู้ช่วยขยายความนิดหนึ่งครับ
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ มีนาคม 19, 2011, 09:04:29 AM
รู้ มี 2 รู้

1.รู้ จาก สัญญา คิด หรือ สมอง เป็นสติ เบื้องต้น(อย่างที่เขียนๆ ฟัง อ่าน  บอกกันมา) เพื่อเดินทางต่อมาที่
2.รู้  จากจิต เป้นสัมมาสติ (เมื่อกำลังของศีล สมาธิ ปัญญา เต็มที่)

รู้หรือมีปัญญา(ด้วยญาน หรือจิต)  ในไตรลักษณ์ เป็นทางเดินเริ่มต้น ของพระอริยะ ระดับแรก ;D