หลวงปู่คำคะนิงเที่ยวเมืองบาดาล ตอนที่ ๒พญานาคที่ปลอมเป็นมนุษย์บวชพระนั้น ได้กราบวิงวอนพระพุทธองค์ขอให้ผู้ที่จะบวชต่อไปใช้คำว่า
นาค ในเวลาบวชเถิด ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงยินยอมตามคำขอร้องนั้น
หลวงปู่ว่าเป็นไปได้ที่พวกพญานาคสร้างวัดทองคำประดับด้วยแก้วมณีอันมีค่านี้ไว้สักการบูชา
เพื่อเป็นเครื่องรำลึกถึงพระรัตนตรัย”
“หลวงปู่ทำไมไม่อยู่จำพรรษาที่นั่นล่ะครับ”
“อยู่ไม่ได้ เพราะหลวงปูแค่ขออนุญาตเขาเข้าไปดูชมให้เป็นบุญหูบุญตาเท่านั้น”
“นอกจากวัดที่หลวงปู่เห็นแล้วมีอะไรอีกครับ”
“หลวงปู่เดินดูชมบริเวณวัดจนทั่วแล้วก็เลยไปทางสระใหญ่มีดอกบัวสีต่างๆ ขึ้นเต็ม
ดอกบัวส่งกลิ่นหอมชื่นใจมาก มีสนามหญ้าสีเขียวตัดเรียบ มีสวนดอกไม้กว้างสุดสายตา
แล้วก็มีทางเดินปูลาดด้วยแผ่นแก้วสีขาวหม่นๆ
สองข้างทางเป็นต้นไม้ทั้งดอกทั้งใบสีแปลกๆ ลูกผลยั้วเยี้ยเลย ก็เลยเดินเข้าไปตามทางนี้
รู้สึกกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้รุนแรงยิ่งขึ้น หอมจนฉุนกึ้กขึ้นจมูกเลย หลวงปู่รู้สึกวิงเวียน
๐ ดาบสฤๅษี“ก็พอดีเดินเข้าไปถึงเบื้องผาแห่งหนึ่ง มีขั้นบันไดหินทอดขึ้นไปสูงประมาณสองวา พบคนผู้หนึ่งนั่งอยู่เป็นพระฤๅษีดาบสผมยาว”
“พระฤๅษีหรือครับ”
“เป็นคนนี่แหละ แก่เฒ่าแล้ว ผมขาวยาวหนวดเครายาวถึงเอว นั่งพิงหมอนขวานใบใหญ่อยู่ใต้เงื้อมผา อาสนะที่นั่งเป็นเบาะปูลาด”
“หลวงปู่ก็นั่งลงยกมือไหว้ ตาแกคนนั้นร้องห้ามหลวงปู่ไว้ ไม่ให้ไหว้ แกบอกว่า ข้าเจ้าไม่ใช่พระ
อย่าไหว้ข้าเจ้าให้เป็นบาปเลย ข้าเจ้าเป็นตาปะโสหรือดาบสฤๅษี”
“ดาบสฤๅษีเป็นพญานาคแปลงกายหรือครับ”
“ไม่ใช่ ท่านบอกว่าท่านบวชเป็นพระฤๅษีดาบสมาได้ 3,000 ปีแล้ว บำเพ็ญศีลเจริญภาวนาอยู่แก่งลี่ผี”
“เป็นไปได้หรือครับ ที่คนเราจะมีอายุถึงสามพันปี”
“พวกฤๅษีดาบสที่บำเพ็ญพรตเจริญภาวนาในพระธรรมจนบรรลุอภิญญาสมาบัติชั้นสูงพวกท่านย่อมมีอำนาจสามารถยืดอายุเวลาให้ยืนนานออกไปได้นับพันๆ ปี อันนี้หลวงปู่เชื่อว่าเป็นความจริง มันเป็นวิชชาลึกลับ”
๐ แก่งลี่ผี“แก่งลี่ผีอยู่ที่ไหนครับ”
“แก่งลี่ผีอยู่ในแม่น้ำโขง เบื้องทิศใต้นครจำปาศักดิ์ลงไป แม่น้ำโขงแถวๆ นั้นมีเกาะแก่งมากมายนับร้อยๆ เกาะ แล้วมีภูเขาลูกหนึ่งขวางกั้นแม่น้ำโขงอยู่ แม่น้ำโขงไหลข้ามเขาไปกลายเป็นน้ำตกลงไป”
“ชาวบ้านเรียกว่าลี่ผี หมายถึงที่ดักปลาของภูตผี ท่อนซุงใหญ่ๆ ขนาดหลายคนโอบตกลงไปในแก่งลี่ผีจะแหลกละเอียดหมด เรือแพผ่านเข้าไปไม่ได้ เป็นวังน้ำวนแก่งน้ำตกมฤตยู แล้วยังมีอุโมงค์ใต้น้ำ ให้น้ำโขงไหลลอดภูเขาด้วยหลายอุโมงค์”
“ภูเขาลูกนี้ลึกลับอาถรรพณ์ เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกฤๅษีชีไพรตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
ชอบไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั่น เพราะเงียบสงบ คนไปรบกวนไม่ได้”
“ดาบสฤๅษีตนนี้ มาทำไมที่นี่”
“หลวงปู่ถามดูแล้ว ท่านดาบสผู้มีอายุยืนนานเล่าให้ฟังว่า พวกบังบดนิมนต์ท่านมาเทศนาธรรม”
“พวกบังบด คืออะไรครับ”
“หมายถึงพวกลับแลหรือพวกมีสภาวะเป็นทิพย์ อย่างพวกพญานาคนี้ก็ถือว่าเป็นพวกลับแลพวกหนึ่งได้เหมือนกันเพราะมีสภาวะทิพย์”
“พระฤๅษีดาบสบอกว่า ท่านมาเทศนาธรรมอบรมชาวลับแลได้สามวันแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเดินทางไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภูจอมทองฝั่งลาว”
หลวงปู่ถามว่า
“แล้วพวกชาวเมืองลับแลไปไหนหมด ทำไมไม่เห็นสักคนเดียว ท่านตอบว่า
พวกชาวลับแลไม่อยากแสดงตัวให้เห็น หลวงปู่เลยบอกท่านว่า จะเข้าไปเที่ยวดูชมข้างในต่อไป ท่านได้ห้ามไว้”
“ทำไมพระฤๅษีถึงห้ามไว้ครับ”
๐ กฎลึกลับ
“พระฤๅษีท่านบอกว่า ข้างในเป็นเวียงวังของพญานาค เป็นเขตอาถรรพณ์ หากมนุษย์เข้าไปแล้วจะต้องอยู่ที่นั่นเลย
กลับออกมาไม่ได้ ถ้ากลับออกมาต้องตาย มนุษย์ที่จะเข้าไปได้ต้องเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีวิชาอาคม
ได้ฌานสมาบัติ ถึงจะมีอำนาจต้านทานพิษร้ายแรงของพญานาคได้
แต่เมื่อเข้าไปแล้วต้องจำพรรษาอยู่ในเวียงวังพญานาคตลอดไป จะออกมาไม่ได้”
“ทำไมถึงกลับออกมาไม่ได้ครับ”
“มันเป็นกฎลึกลับของบานเมืองบาดาลเป็นอย่างนั้น อย่างพระฤๅษีดาบสท่านมาจากแก่งลี่ผี
ท่านก็ยับยั้งอยู่แค่เขตวัดมหาเจดีย์ทองคำนี้เอง ไม่เข้าไปในเขตเวียงวังของพญานาค
ถ้าเข้าไปแล้วท่านว่าต้องอยู่เป็นสมภารเจ้าวัดในเมืองบาดาลตลอดไป กลับออกมาอีกไม่ได้
ดังนั้นพวกพญานาคจึงออกจากเวียงวังชั้นในมาฟังธรรมเทศนาของท่านที่ข้างนอกแห่งนี้”
“แล้วหลวงปู่ไปไหนอีก”
“พระฤๅษีดาบสท่านบอกให้หลวงปู่กลับ ท่านว่าหลวงปู่มาสามวันแล้ว อย่าอยู่นานกว่านี้เลยไม่ดี
อาจแพ้พิษของพวกพญานาคได้ เพราะในอาณาเขตใต้พิภพเมืองบาดาลนี้
พวกพญานาคคายพิษอันตรายไว้ทั่วไป อากาศเป็นพิษกับมนุษย์และสัตว์ทั่วไป หลวงปู่ได้รับคำเตือนเช่นนั้นก็เลยกลับออกมา”.
“กลับออกมายังไงครับ”
“กลับออกมาทางเก่า พอข้ามแม่น้ำที่หลวงปู่ทำเครื่องหมายกองหินไว้ก็พบพญางูใหญ่ตัวนั้นอีก แปลกแท้ๆ เขามารออยู่แล้วคล้ายรู้ว่าหลวงปู่จะกลับ”
“พญางูตัวนั้นนำทางอีกใช่ไหมครับ”
“เออ...ขากลับนี้เขาเลื้อยนำหน้าพากลับทางลัด เป็นอุโมงค์มีขั้นบันไดหิน สูงชันมาก
สองข้างอุโมงค์มีแสงสว่างคล้ายแก้วระยิบระยับ แล้วก็มีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุล
หลวงปู่รู้สึกว่ามาประมาณเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ในราวสักครึ่งชั่วโมงกระมั้ง”
“กลับมาถึงไหนครับ”
“ก็กลับมาถึงถ้ำมืดนั่นแหละ”
“หลวงปู่ไม่ได้ฝันไปแน่นะครับ ”
“จะฝันอะไร ก็หลวงปู่เดินไปนี้แหละ หลวงปู่ได้ไปเห็นมาจริงๆ ก็เล่าให้พระสงฆ์องค์เจ้าด้วยกันฟังรู้กันหมด”
๐ อาจารย์คำดี
“คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืด
เพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง
พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย”
“พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระเครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย
เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย”
“ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย
เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อยๆ
พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้”
“หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้”
“พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปูละครับ”
“เขากลัวกัน ไม่กล้าเข้าไปด้วยกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน
อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”
“หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ”
“ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะมีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก
พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน
พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด”
“เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล
อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลกๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา
จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด ”
“พวกเข้าก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่”
“หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่นพระเครื่องของโบราณ”
“ไม่มี...หลวงปู่ไม่เห็นมีพระเครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา
เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้องการอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”
๐ เหล็กไหล“เหล็กไหลมีไหมครับ”
“หลวงปู่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้”
“เหล็กไหลเป็นของมีจริงไหมครับ”
“เป็นธาตุอย่างหนึ่งมีจริง หลวงปู่เคยพบในถ้ำบ่อยๆ เหล็กไหลเป็นของลึกลับศักดิ์สิทธิ์ มีพวกยักษ์รักษา
ยักษ์นี้เป็นเทวดาพวกหนึ่งมีฤทธิ์มาก หลวงปู่เป็นพระไม่อยากได้ เพราะไม่รู้จะเอาไปทำไม”
“บางทีหลวงปู่นั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำ พวกยักษ์เขาลองใจให้เหล็กไหลหล่นลงมาใส่ในบาตรดังป๊อก
หลวงปู่หยิบดูรู้ว่าเป็นเหล็กไหลก็พูดดังๆ บอกกล่าวว่า เอากลับคืนไปเถอะ ไม่อยากได้
เพราะเหล็กไหลหรือสิ่งกายสิทธิใดๆ ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้”
“พวกยักษ์เขาก็เอาเหล็กไหลกลับคืนไป รู้สึกเขาพอใจมาก อนุโมทนาสาธุการกันในปฏิปทาของหลวงปู่ที่แน่วแน่มั่นคงในพระธรรม
ไม่เกิดกิเลสความอยากได้ในสิ่งอื่นใด นอกจากพระธรรมอย่างเดียว”
“เรื่องเหล็กไหลนี้แล้วแต่วาสนาบารมี ถ้าใครมีวาสนาบารมีก็ได้เอาง่ายๆ พวกที่ใช้วิชาอาคมแก่กล้าไปตัดเอาเหล็กไหลมาได้
ส่วนมากมักจะแพ้ภัยตัวเองในภายหลัง ถ้าเหล็กไหลไม่หนีกลับ ก็อาจมีอันพบกับความเสื่อมทรามวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจนได้”
๐ แค่นี้ก่อนหลวงปู่คำคะนิงเพิ่งอยู่ในระยะพักฟื้นหลังป่วยหนัก ท่านจึงไม่สามารถพาคณะของเราไปพิสูจน์เมืองพญานาคที่ถ้ำมืดได้
แต่ท่านได้รับปากว่า เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว หากคณะของเราไปนมัสการท่านอีก
ท่านจะพาไปพิสูจน์เมืองบาดาลของพญานาคให้เห็นจริงเห็นจัง
ปัญหามีอยู่ว่า คณะของเราจะมีจิตใจกล้าหาญ กล้าเสี่ยงความตายลงไปในพิภพบาดาลกับท่านหรือไม่เท่านั้น
เพราะการลงไปจะต้องเผชิญกับอากาศที่ไม่มีสำหรับหายใจ
ต้องย่ำวนเวียนอยูในถ้ำเป็นเวลาหลายวันไม่มีกำหนดอาจหลงทางอดอาหารตาย
ประการสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีศีลบริสุทธิ์ และได้สมาธิจิตอยู่ในขั้นควบคุมจิต ประคองจิต รักษาจิตได้
ถ้าขาดสมาธิก็ขาดกำลังใจ อาจตกใจหวาดกลัวจนเสียสติ กลายเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ
เพราะการเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกลับใต้พื้นพิภพเช่นนั้น เป็นความเงียบสงัดเหมือนเราท่านเข้าไปนั่งอยู่ในอุโมงค์เก็บศพ
ประดุจหนึ่งเราท่านเป็นคนตายแล้ว ร่างกายไม่สามารถจะเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายใดๆ ได้เลย
ถึงมีอาวุธปืนทันสมัยไม่แน่ว่าจะป้องกันอันตรายได้ เพราะในถ้ำลึกลับอาถรรพณ์เช่นนั้น
จะมีภัยอันตรายอะไรบ้างที่เราไม่รู้ได้และป้องกันไม่ได้ เราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย
อาวุธเครื่องป้องกันอันตรายมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ จิตบริสุทธิ์ มีเมตตาไม่ปรารถนาเบียดเบียนส่ำสัตว์ใดๆ
ให้เดือดร้อนลำบาก จะต้องแผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา มีกำลังสมาธิจิตเข้มแข็งควบคุมตนเองได้เฉียบขาด
พร้อมที่จะ “ตาย” ได้ตลอดเวลา ไม่อาลัยใยดี หากเป็นคราวเคราะห์กรรมส่งผล แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวเคราะห์กรรม “พระธรรม”
ประจำใจที่เราปฏิบัติอยู่ย่อมคุ้มครองป้องกันภยันตรายให้เอง
ใคร่ขอเรียนว่า เรื่องเหล่านี้ ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ
ให้ช่วยกันค้นคิดหาเหตุผลพิสูจน์ออกมา เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับอนุชนรุ่นหลัง
ถ้าสิ่งเร้นลับเหล่านี้ไม่มี จงพิสูจน์ออกมาให้ได้ว่า เพราะเหตุใดมันถึงไม่มี