เรื่องของคุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม ดิฉันเกิดวันพฤหัสบดี เดือน 4 ปีชวด พ.ศ. 2455
ณ บ้านหนองกอง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
บิดาชื่อ ลี มารดาชื่อ มาด ตาชื่อ สิงห์
ยายชื่อเฟื้อย คนทั่วไปเรียกว่า หม่อมเฟื้อย
ภูมิลำเนาอยู่ที่ไหนไม่ปรากฎ
ทราบแต่ว่ายายเคยอยู่ที่ประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี
ถูกทหารไทยกวาดต้อนมาแต่รัชกาลที่ 3
ภายหลังพระยาศรีธรรมาโศกราช
(เป็นชื่อเจ้าเมืองฝรั่งแต่งตั้งให้มีหลายคน) เจ้าเมืองเวียงจันทน์
ฝรั่งให้เกลี้ยกล่อมมารับครอบครัวยาย
พร้อมด้วยญาติพี่น้องหลายครอบครัวกลับไปอยู่ที่นครเวียงจันทน์
ก่อนอพยพไป ยายได้น้อมเกล้าฯ ถวายช้าง
แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 เชือก
ยายมีลูกสาว 2 คนแค่นั้น ลูกชายไม่มีเลย มีแต่แม่กับน้าเท่านั้น
น้าก็มีสามีฝรั่ง ส่วนแม่ก็แต่งงานกับพ่อ ยายก็มีความสุขดี
พ่อมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
แต่ไปมีอาชีพทำนาที่เวียงจันทน์
หลังจากแต่งงานกับแม่ที่เวียงจันทน์แล้ว
ทำนาไม่ได้ผลเพราะน้ำท่วมทุกปี
พ่อก็พาแม่ข้ามโขงมาทำไร่ที่บ้านหนองกอง
แม่มีลูกสาว 3 คน ด้วยกัน คนที่หนึ่งชื่อปทุมมา
คนที่สองชื่อจันลา คนที่สามชื่อพิมพา ดิฉันนี้แหละ
ดิฉันเกิดมาได้ 3 เดือน แม่ก็ตาย
พ่อก็พาลูกทั้ง 3 คนข้ามไปเวียงจันทน์อีก
ไปให้ยายที่เวียงจันทน์เลี้ยงไว้ เสร็จแล้วพ่อก็กลับหนองกองแล้วไม่กลับมาอีก
ต่อมาตาและน้าเขยก็ตายลงในเวลาใกล้ๆ กัน
ขณะนั้นพี่สาวทั้ง 2 คนได้แต่งงานและแยกย้ายไปอยู่ที่ท่าแขกและปากเซ
คงเหลือดิฉันคนเดียวต้องรับภาระเลี้ยงดูยายและน้าสาวตามลำพัง
น้าก็เป็นแม่หม้ายไม่มีลูก เงินทองก็ไม่มี
ยายมีหลานชายเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์
หลานชายได้เกื้อกูลอุดหนุนยายเสมอ
ยายจึงพอเลี้ยงหลานทั้งสามคนได้
พอดิฉันอายุประมาณ 12 ปี ญาติพี่น้องเขาก็มาจ้างให้เลี้ยงลูกเขา
เขาให้แต่ข้าวเปลือก อาหารหาเอาเอง
พอโตขึ้นเป็นสาวพอทำงานได้เขาก็จ้างไปทำงาน
ส่วนมากก็เป็นงานรับจ้างสักแต่ว่าใครจะจ้างให้ทำอะไร
ดิฉันทำทุกอย่าง รับจ้างทำไร่ ช่วยถากถางป่า
ช่วยปลูกและเก็บพืชผล
ถึงฤดูทำนา ก็รับจ้างตกกล้า ดำนา เก็บเกี่ยวข้าว หวดข้าว สีข้าว ตำข้าว
ดิฉันทำงานด้วยความมานะอดทน ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก
เขาสงสารให้ข้าวเปลือกมากกว่าคนอื่น
ได้ข้าวเปลือกประมาณร้อยกว่ากระบุงต่อปี
นาของดิฉันก็มีอยู่ ที่ดินกว้างขวางแต่ไม่มีคนทำเพราะน้ำท่วมทุกปี
นอกจากนั้นดิฉันยังไปรับจ้างเลี้ยงเด็กได้เงินเล็กๆ น้อยๆ
พอเลี้ยงกันได้ 3 ชีวิต มีความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส
พอดิฉันอายุประมาณ 16 - 17 ปี
ก็มีคนมาสู่ขอมากราย ล้วนแต่มีฐานะดี
เราก็พิจารณาดูว่าเขาเป็นคนมั่งมีแต่เราเป็นคนจน
เราก็คิดว่าเขาจะเหยียดหยาม จึงไม่ตัดสินใจรับคำขอแต่งงาน
มีคนมาสนใจเราเสมอ เพราะว่าเราขยัน ถ้าเราไม่ขยันก็ไม่มีใช้
ต่อมามีคนหนึ่งชื่อ ขุนภักดี เป็นเศรษฐี เขาไม่ต้องทำนากินแต่ดอกเบี้ย
และแต่ก่อนก็ไม่มีใครจะรวยเหมือนเขาเลย
เศรษฐีผู้นี้เขามาเลี้ยงม้าอยู่ที่สวนเรา เขาก็มาสนใจเรา
แต่เราไม่รู้เรื่องเศรษฐีผู้นี้มาขอเราเป็นลูกสะใภ้เขา
เขาพูดว่าให้เราพูดเอาเองว่าตกลงจะแต่งงานกับลูกเขา
จะเรียกร้องเท่าไรเขาไม่ว่า
ญาติพี่น้องฝ่ายเราก็ดีใจกันใหญ่ว่าเรามีบุญมาก จะได้นั่งกองเงินกองทอง
เราก็มองดูอยู่ 3 - 4 วัน เราเองก็อยากทราบว่า
ตระกูลของผู้ที่เราจะเข้าไปอยู่ร่วมด้วยนั้นมีความเป็นอยู่อย่างไร
อาหารการกินและสิ่งของที่เขาจะนำไปทำบุญทำทานจะวิเศษสักเพียงไหน
วันหนึ่งก่อนวันพระ ดิฉันแอบตามไปดูแม่เขาจ่ายตลาด
เดินตามไปดูห่างๆ เห็นเขาไปที่ร้านขายเนื้อ
หยิบของเศษๆ ที่เจ้าของเขาทิ้งแล้วใส่ตะกร้า
ต่อจากนั้นก็ไปร้านขายหมู ขายปลาตามลำดับ ทำเช่นเดียวกัน
ได้ของเต็มตะกร้าโดยไม่เสียเงินเลยสักสตางค์เดียว
ดิฉันตัดสินใจในขณะนั้นทันทีว่า ไม่เอาแล้วคนรวยอย่างนี้
ลูกชายคงตระหนี่เหนียวแน่นเหมือนแม่
ถ้าเราซื้อของดีๆ มากินหรือทำบุญทำทาน
เขาคงชี้หน้าด่าว่า "อีขี้ทุกข์ มึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอย่างนี้จึงทุกข์ยาก"
พอมาถึงบ้านญาติพี่น้องก็เรียกมาถามให้เราตกลงในวันนี้
เราก็ตอบว่าไม่เอาเด็ดขาดเลย
เขาก็ด่าว่าขู่เข็ญเรา ถ้าไม่ฟังคำอบรมของญาติพี่น้องแล้ว
ถ้ามึงจะตายกูจะปล่อยให้แร้งแก่เอามึงไปกินทั้งกระดูกไม่ให้คนเก็บศพเลย
เราก็ตอบว่าแล้วแต่จะเป็นไปไม่อยากนั่งกองเงินกองทองของใครทั้งหมด
ญาติพี่น้องเมื่อได้ทราบว่าดิฉันตัดสินใจว่าคนอย่างนี้ไม่เอาแล้ว
จึงโกรธเคืองดิฉันมาก ถึงกับตัดเป็นลูกเป็นหลานกันไป
ไม่มีใครทักทายปราศรัย พากันเมินหน้าหนี เหมือนตัวคนเดียว
ดิฉันคิดว่าใครไม่ดูไม่แลก็แล้วไป
เราหากินเองไม่มีใครจะมาช่วยหาให้เรากินหรอก
เลือกหาคนดีเป็นคู่ครอง
ต่อมามีคนมาสู่ขออีกเรื่อยๆ หลายราย
ฐานะดีทุกรายแต่ไม่ตกลงกับใคร
ใจคิดจะเลือกหาคนดี มีศีลธรรม
จะทุกข์ยากอย่างไรก็ช่าง ขอแต่ให้มีน้ำใจดี
จนกระทั่งอายุได้ 20 ปี
มีหนุ่มบ้านเดียวกันชื่อ ขิ้ม วงศาอุดม อายุ 22 ปี
เป็นคนผิวคล้ำ ต่ำเตี้ย เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านกับเพื่อนๆ เป็นประจำ
สังเกตดูกิริยาวาจาเวลาพูดเล่นหัวกับเพื่อนเป็นคนอารมณ์ดี น้ำใจดี
เรามองดูกิริยาท่าทางเขาเป็นคนดี
พ่อของเขาก็เป็นสารวัตร เราก็มาคิดว่า
พ่อแม่ของเขามีศีลธรรมประจำใจ
คิดว่าถึงทุกข์จนสักเท่าไร ถ้าผัวเมียถูกต้องกันแล้ว
มันก็มีแต่ความสุขความเจริญขึ้นทุกวัน
พ่อแม่เขาก็บริบูรณ์ทุกอย่างแต่ไม่เหมือนกับคนขี้เหนียวนั้น
เขาก็ไปรักษาศีลภาวนาทุกวัน
พิจารณาดูแล้วมันก็ถูกใจเราพอดี พอเป็นแฟนได้
แต่แม่ของเขาปากจัดมากเขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ
รุ่งเช้าพวกญาติพี่น้องของดิฉันมาถามแบบประชด ว่า
"จะเอาไหม อีมึนดื้อ อีขี้ทุกข์ ตกลงไหมรายนี้"
ดิฉันตอบว่า "เออ ตกลง"
ญาติก็ว่า "คนที่จะเป็นย่า (แม่ผัว) มึงปากจัดมากนะ"
ดิฉันมาคิดดูว่า จัดก็จัด ปากเขา เราไม่ทำผิดเขาจะเอาเรื่องอะไรมาด่า
คิดอย่างนี้ จึงตกลงใจแต่งงาน
น้าสาวก็แต่งงานใหม่ในเวลาใกล้ๆ กัน
แต่งงานแล้ว ปู่ ย่า (พ่อผัว แม่ผัว) ก็มาขอไปอยู่บ้านสามี
ดิฉันจึงย้ายไปอยู่บ้านพ่อแม่ของสามี
โบราณท่านว่า
ตัดผมผิด คิดไม่หาย ปลูกเรือนผิด
คิดจนสลาย เอาคู่ครองผิด คิดจนวันตาย
ขอบคุณธรรมะดีๆ จากหลวงพ่อปราโมทย์ ครับ
http://www.kammatan.com