หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ที่มาแสดงธรรมที่การบินไทย เทศน์ประมาณ 45 นาที ช่วงส่งการบ้านอีก 20 นาที
พอท่านเทศนาจบก็มีการส่งการบ้านกัน พอเข้าช่วงนี้ผมก็เลยคิดว่าจะเดินออกจากห้องประชุม
เพราะเหตุว่าคนที่จะส่งการบ้านนั้นไม่ใช่ผม จริตหรือภูมิธรรมของใครก็ของเค้า ฟังไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเอง และอีกอย่างผมไม่ค่อยอยากจะเข้าไปฟังหรือรับรู้เรื่องของชาวบ้านเท่าใดนัก เค้าจะเป็นยังไงก็เรื่องของเค้า ดูเอาที่กายใจเราเองดีที่สุด
แต่ว่าจะลุกออกไปคนก็มากและเดี๋ยวมันจะดูไม่ดี ก็เลยนั่งๆฟังไปให้จบ
มี
สตรีท่านนึงถามว่าการปฏิบัติ เวลาจะเข้าสมาธิทำสมถะ ก็ห่วงนั่นนี่ กังวลนู่นนี่ จะแก้ไขอย่างไร ?
หลวงพ่อก็ตอบว่าก็ดูความห่วงความกังวลไปก็ได้ มองมันให้เห็นให้ทัน ความกังวลก็ดับไป แล้วถามต่อว่า แล้วรู้มั๊ยถ้าตายตอนที่จิตมีกังวลมีห่วงอยู่มันจะไปเกิดอีกภพไหนทราบมั๊ย...?
พอถามจบจังหวะนี้พอดีหลวงพ่อท่านขำ พร้อมกับผม ที่รู้คำตอบท่านอยู่แล้ว ผมอาจจะขำดังหน่อยแต่ไม่มาก พอทำให้คนรอบๆข้างหันมามองผมกันหลายคน สำหรับที่คนได้ยินผมขำ
ส่วนการขำนั้นก็ไม่ได้เจตนาจะดูถูกกันหรือตำหนิอะไรกัน เป็นเพราะคนถามนั้นไม่รู้ สำหรับพวกผู้รู้ก็รู้ไป ไม่ได้มีพิษภัยอะไร สมัยก่อนเราภูมิจิตภูมิธรรมยังไม่ถึง ไปถามอะไรหลวงปู่หลวงตาก็อาจจะพาซื่อเอาให้ท่านอมยิ้มได้เหมือนกัน
เพื่อนกัลยาณมิตร คงตอบคำถามหลวงพ่อได้นะครับ และถ้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นและรู้อย่างนั้น อาจจะร่วมขำพร้อมผมก็ได้..!
เห็นมั๊ยครับ ร่างกายหรือรูปนาม ของเรามันเป็นไปเอง เมื่อมันมีเหตุ(ให้ขำ) มันก็เป็น(ขำ)ของมันได้เอง เมื่อหมดเหตุ มันก็ดับไป(หยุดขำ)
ตาม
กฎไตรลักษณ์ อีกแล้ว