KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => แนะนำ สถานที่ปฏิบัติภาวนาธรรม ที่สัปปายะ ในประเทศไทย => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 05, 2009, 11:02:08 AM



หัวข้อ: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 05, 2009, 11:02:08 AM
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160924_img_2626.jpg)

สามารถดูรายละเอียดได้ที่ : http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=478.0 (http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=478.0)

น่ะครับ  ;)


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 24, 2011, 10:13:56 AM
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160924_img_2626.jpg)

สามารถดูรายละเอียดได้ที่ : http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=478.0 (http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=478.0)

น่ะครับ  ;)

ขออนุโทธนาด้วยนะครับ


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 18, 2011, 10:03:45 PM
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090217203749_luangpu_sim.jpg)

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

ท่านมีนามเดิมว่า สิม วงศ์เข็มมา เกิดเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๕๒ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีระกา เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. ที่บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บิดาท่านชื่อ นายสาน วงศ์เข็มมา มารดาชื่อ นางสิงห์คำ วงศ์เข็มมา มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๕

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160924_img_2626.jpg)

สกุล "วงศ์เข็มมา" เป็นสกุลเก่าแก่สกุลหนึ่งของบ้านบัว ผู้เป็นต้นสกุลได้แก่ ขุนแก้ว และ อิทปัญญา ผู้เป็นน้องชาย ตัวท่านขุนแก้วคือปู่ของหลวงปู่สิมนั่นเอง

ท้าวความ ในคืนที่หลวงปู่เกิดนั้นประมาณเวลา ๑ ทุ่ม โยมมารดาของท่านเคลิ้มหลับไป ก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีรัศมีกายสุกสว่าง เปล่งปลั่ง แลดูเย็นตาเย็นใจ อย่างบอกไม่ถูก ลอยลงมาจากท้องฟ้าลงสู่กระต๊อบกลางทุ่งนาของนาง ต่อมาเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม นางสิงห์คำก็ให้กำเนิดเด็กน้อยผิวสะอาด และจากนิมิตที่นางเล่าให้นายสานฟัง นายสานผู้เป็นบิดาจึงได้ตั้งชื่อลูกชายว่า "สิม" ซึ่งภาษาอีสานหมายถึงโบสถ์ อันอาจบ่งบอกถึงความใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาเด็กชายสิมผู้นี้ ก็ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ บำเพ็ญสมณธรรม ใช้ชีวิตที่ขาวสะอาดหมดจดตลอดชั่วอายุขัยของท่าน

เมื่อเริ่มเข้ารุ่นหนุ่ม อายุ ๑๕-๑๖ ปี ท่านมีความสนใจในดนตรีอยู่ไม่น้อย หลวงปู่แว่น ธนปาโล เล่าว่า ตัวท่านเองเป็นหมอลำ ส่วนหลวงปู่สิมเป็นหมอแคน สิ่งบันดาลใจ ให้หลวงปู่อยากออกบวช คือความสะดุ้งกลัวต่อความตาย ท่านเล่าว่า

"ตั้งแต่ยังเด็กแล้วเมื่อได้เห็น หรือได้ข่าวคนตาย มันให้สะดุ้งใจทุกครั้ง กลัวว่าเราจะตายเสียก่อน ได้ออกบวช"

มรณานุสติได้เกิดขึ้นในใจของท่านอยู่ตลอดเวลา เฝ้าย้ำเตือนให้ท่านไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในวัย ไม่ประมาทในความตาย

เป็นเพราะหลวงปู่กำหนด "มรณํ เม ภวิสฺสติ" ของท่าน มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนั่นเอง ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกบวชจวบจนสิ้นอายุขัยของท่าน หลวงปู่ก็ยังใช้อุบายธรรมข้อเดียวกันนี้ อบรมลูกศิษย์ลูกหา อยู่เป็นประจำ เรียกว่า หลวงปู่เทศน์ครั้งใดมักจะมี "มรณํ เม ภวิสฺสติ" เป็นสัญญาณเตือนภัยจากพญามัจจุราชให้ลูกศิษย์ลูกหาตื่นตัวอยู่เสมอทุกครั้ง

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160239_img_2575.jpg)

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

เมื่อท่านอายุ ๑๗ ปี ได้ขอบิดามารดาบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดมหานิกาย ณ บ้านบัวนั้นเอง ตรงกับวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๖๙ ตรงกับ วันอาทิตย์แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง โดยมี พระอาจารย์สีทอง เป็นพระอุปัชฌาย์

ต่อมาคณะกองทัพธรรมของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เดินธุดงค์มาจากหนองคาย เพื่อมาเผยแพร่ธรรมปฏิบัติ แก่ประชาชน โดยเดินทางมาถึงวัดศรีสงคราม จังหวัดนครพนม สามเณรสิม จึงได้มีโอกาสเดินทางไปฟังธรรม ทั้งจากพระอาจารย์ใหญ่ คือหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม และท่านอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล

สามเณรสิมได้เฝ้าสังเกตข้อวัตรปฏิบัติ ของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น และได้บังเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น และได้ขอญัตติใหม่ มาเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่โดยที่ขณะนั้นยังไม่มีโบสถ์ของวัดฝ่ายธรรมยุติในละแวกนั้น การประกอบพิธีกรรมจึงต้องจัดทำที่โบสถ์น้ำ ซึ่งทำจากเรือ ๒ ลำ ทำเป็นโป๊ะลอยคู่กัน เอาไม้พื้นปูตรึงเป็นพื้น แต่ไม่มีหลังคา สมมติเอาเป็นโบสถ์ โดยท่านพระอาจารย์มั่นฯ เป็นประธาน และเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดป่าบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม

จากนั้นสามเณรสิมได้ติดตามพระอาจารย์มั่น ไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

เมื่อสามเณรสิมอายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ตรงกับวันอังคารขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง โดยมีเจ้าคุณเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุติจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดดวงจันทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทฺธาจาโร"

จากนั้นท่านก็ได้เดินทางติดตามพระอาจารย์ของท่าน คือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ไปจำพรรษาที่วัดป่าวิเวกธรรม (วัดป่าบ้านเหล่างา) อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160250_img_2576.jpg)

วัดป่าบ้านเหล่างานี้เป็นวัดอยู่ในเขตป่าช้า (บริเวณโรงพยาบาลขอนแก่นในปัจจุบัน) ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ได้จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นสำนัก อบรมกรรมฐานแก่ญาติโยมชาวขอนแก่น ท่านพระอาจารย์สิงห์ ได้ออกอุบายสอนลูกศิษย์ของท่าน ให้ได้พิจารณาอสุภกรรมฐานจากซากศพและว่า

"นี่แหละร่างกายนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงทรงสอนให้กำหนดเป็นอสุภกรรมฐาน อย่าไปเห็นว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน"

"สมมติโลกว่าสวยว่างามสมมติธรรมมันไม่สวยงาม อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น ถึงมันจะยังไม่ตายตอนเด็กตอนหนุ่มก็เถอะ ไม่นานละ เดี๋ยวมันก็ทยอยตายไปทีละคน สองคน หมดไป สิ้นไป ไม่เหลือ"

ในชีวิตสมณะของท่านได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า "โสสานิ กังคะ" คือไปเยี่ยมป่าช้าเป็นธุดงควัตร และที่วัดป่าเหล่างานี้เอง ที่หลวงปู่ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิด กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นเวลานาน ๓-๔ ปี ทั้งได้มีโอกาสมักคุ้น กับพระกรรมฐานองค์สำคัญ ๆ หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี, หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่ฝั้น อาจาโร , หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , ท่านพ่อลี ธมฺมธโร , ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เป็นต้น


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://romphosai.com/ (http://romphosai.com/)
รูปภาพโดย : golfreeze[at]packetlove.com


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 18, 2011, 10:04:13 PM
              (http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160315_img_2580.jpg)   

              ปี พ.ศ. ๒๔๗๙ (พรรษาที่ ๘) เมื่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดจักราช สมเด็จฯ ท่านได้แลเห็นจริยาวัตรของหลวงปู่สิม ขณะทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้และเกิดชื่นชอบถูกใจ ถึงกับปรารถนาจะชวนหลวงปู่ไปอยู่ด้วยกับท่าน จึงเอ่ยปากขอตัว หลวงปู่สิม กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ว่า

"พระองค์นี้มีลักษณะเป็นผู้มีบุญบารมี ผมจะขอตัวให้ไปอยู่ด้วย จะขัดข้องหรือเปล่า"

ซึ่งท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านก็มิได้ขัดข้อง ด้วยเห็นเป็นวาสนาบารมี ของหลวงปู่สิม ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิด กับพระเถระผู้ใหญ่เยี่ยงท่านสมเด็จฯ นี้ ทั้งจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัยให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไป

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร จึงได้ร่วมเดินทางมากับสมเด็จฯ ที่วัดบรมนิวาส มาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักสมเด็จฯ ทำให้หลวงปู่สิม ได้รับความรู้แตกฉาน ในพระธรรมวินัยมากขึ้น หลวงปู่สิมอยู่รับใช้สมเด็จฯ ด้วยจริยาดีเยี่ยม พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอน การปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของพระธุดงค์กรรมฐาน ให้แก่พระเณรจำนวนมากที่มารับการฝึกฝนอบรมจากหลวงปู่

ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เรียนขออนุญาตต่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เดินทางธุดงค์กลับถึงบ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อโปรดญาติโยมที่บ้านเกิด ตามคำอาราธนา และเมื่อหลวงปู่ปรารภที่จะให้มีวัดป่าธรรมยุติกนิกายขึ้น เป็นวัดแรกในบ้านบัว ญาติโยมจึงต่างสนองตอบคำปรารภ ของหลวงปู่อย่างกระตือรือร้น และเต็มอกเต็มใจ

โยมอาของท่าน คือนางคำไพ ทุมกิจจะ ได้มีศรัทธาถวายที่ดินให้หลวงปู่จัดสร้างเป็นสำนักสงฆ์ขึ้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ สำนักสงฆ์นี้ปัจจุบันพัฒนาเป็น "วัดสันติสังฆาราม" พร้อมด้วยวัดและสำนักสงฆ์สาขาเกิดอีก ๙ แห่ง

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160629_img_2599.jpg)

สำหรับวัดสันติสังฆารามจังหวัดสกลนครนี้ หลวงปู่ได้เริ่ม ดำเนินการก่อสร้าง พระอุโบสถตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จนแล้วเสร็จ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จมาฝังลูกนิมิตในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ ในโอกาสเดียวกับงานอายุครบ ๗๑ พรรษาของหลวงปู่

หลวงปู่สิมได้ธุดงค์ไปในหลายจังหวัดอาทิเช่น วัดป่าสระคงคา อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ สำนักสงฆ์หมู่บ้านแม่ดอย (ต่อมาได้พัฒนาเป็นวัดชื่อว่า วัดป่าอาจารย์มั่น) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ (ณ ที่นี้หลวงปู่ได้พบหลวงปู่มั่นฯ และได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมจากหลวงปู่มั่น จนการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่ ก้าวหน้า ขี้นอย่างมาก)

เมื่อแยกจากหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอสันกำแพง เข้าพักที่วัดโรงธรรมสามัคคี วัดนี้เคยเป็นสถานที่ ที่ครูอาจารย์หลายท่าน เคยใช้พักจำพรรษา อาทิ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต , หลวงปู่ชอบ ฐานสโม , หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ , พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นต้น

หลวงปู่สิม ได้พักจำพรรษา ที่วัดโรงธรรมสามัคคีแห่งนี้ติดต่อกันนาน ถึงห้าปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมือง อยู่ในสภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160641_img_2601.jpg)

ในระหว่างนั้น หลวงปู่ได้รับรู้ความคับจิตคับใจ ของบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย หลวงปู่ได้ปลุกปลอบใจของชาวบ้าน ที่กำลังสิ้นหวังให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้น ด้วยการหยั่งพระสัทธรรมลงสู่จิตของพวกเขา

ในระหว่างออกพรรษา หลวงปู่สิมได้จาริกธุดงค์ ไปบำเพ็ญเพียร ณ สถานที่วิเวกหลายแห่ง ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ศิษย์อาวุโสชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งคือ เจ้าชื่น สิโรรส (วัย ๙๖ ปี) โดยในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เจ้าชื่น สิโรรส ได้อพยพครอบครัว หลบภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ ขณะที่หลวงปู่ธุดงค์ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะนี้ ท่านเปรียบเสมือนที่พึ่งอันสูงสุด ที่มีความหมายมาก สำหรับคนที่อยู่ ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากสงคราม

ปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๙ เมื่อสงครามมหาเอเซียบูรพาใกล้จะยุติ เจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งอพยพจากถ้ำผาผัวะ กลับคืนตัวเมืองเชียงใหม่ ได้กราบอาราธนาหลวงปู่ ให้ย้ายเข้ามาพัก จำพรรษาที่ตึกของแม่เลี้ยงดอกจันทร์ กีรติปาล (คิวริเปอร์) ซึ่งอยู่ที่ถนนดอยสุเทพ ตรงข้ามกับถนนไปสนามบินเชียงใหม่ ปัจจุบันคือที่ตั้งของศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ณ ที่นี้เองที่หลวงปู่สิม พบกับลูกศิษย์คนแรกที่อุปสมบทที่เชียงใหม่คือ พระมหาทองอินทร์ กฺสลจิตฺโต ซึ่งต่อมาก็ได้เป็น เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ของวัด "สันติธรรม" ซึ่งได้ทำการก่อสร้างขึ้นในภายหลัง

(http://www.kammatan.com/gallary/images/20090307160707_img_2608.jpg)
ในหลวงทรงเสด็จพระราชดำเนินไปที่ ถ้ำผาปล่อง

ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เมื่อสงครามสงบโดยสิ้นเชิง มีข่าวว่าแม่เลี้ยงดอกจันทร์ และลูกหลานที่อพยพหลบภัยสงครามไป จะกลับคืนถิ่นฐานเดิม หลวงปู่จึงปรารภเรื่องการสร้างวัด คำปรารภในครั้งนั้น เป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่นิ่มนวล สุภาวงศ์ เกิดศรัทธาขึ้นมาอย่างแรงกล้า ที่จะสร้างวัดถวายหลวงปู่ ด้วยพลังศรัทธานั้นเอง "วัดสันติธรรม" จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา โดยอาศัยกำลังศรัทธาของสานุศิษย์


ขอบคุณข้อมูลจาก : http://romphosai.com (http://romphosai.com)
รูปภาพโดย : golfreeze[at]packetlove.com


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: perfume2home ที่ พฤศจิกายน 06, 2011, 09:38:47 PM
ขอบคุณครับบ
น้ำหอม (http://www.perfume2home.com)


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ เมษายน 08, 2013, 02:19:49 PM

รักหลวงปู่

โมทนาสาธุ   ;D


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: Baansabai ที่ เมษายน 11, 2013, 09:40:16 AM
ขอบคุณครับ  :)


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: flyingrhino76 ที่ เมษายน 18, 2013, 07:13:55 PM
ขอบคุณมากจ้า ^^


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: noot2010 ที่ มกราคม 04, 2014, 07:37:57 AM
ขอบคุณมากๆจ้า  ;D


หัวข้อ: Re: สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: anonzero ที่ มกราคม 12, 2014, 11:19:13 PM
สาธุๆ :) :)