ไม่ได้พิสดารอะไรหรอกครับน้องกอล์ฟ
เต็มกำลังนั้น หมายถึงเต็มกำลังของเราเองน่ะครับ คือเต็มกำลังของผู้แผ่เมตตาที่สั่งสมปฏิบัติกันมาแล้วเองตามกำลังอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลครับ
เรื่องกรรมและวิบากของกรรมหรือกฏแห่งกรรม นั้นก็สลับซับซ้อนมากจนเกินวิสัยของปถุชนคนทั่วไปตลอดจนถึงพระอริยะก็เข้าใจได้แต่เพียงบางส่วน จะมีเพียงแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ได้โพธิญานและแจ้งแล้วในเรื่องของกรรม
ซึ่งความสลับซับซ้อนนี่เองเช่นว่าทำกรรมแบบนี้จะให้ผลแบบนี้ ให้ผลเวลานั้น เวลานี้ เป็นระยะเวลานานเท่าใด ให้ผลกี่ครั้งจึงจะหมดกรรม แล้วรูปแบบที่ชดใช้ต้องเป็นแบบเดียวกัน สถานที่เดียวกัน หรือ รูปแบบในการชดใช้เป็นแบบอื่นได้เหมือนกัน ...ฯลฯ.....
เรื่องของกรรมจึงสลับซับซ้อนอย่างยิ่งยวด เราจึงควรศึกษาเอาแต่เพียงแค่ว่ากรรมก็คือองค์ธรรมอันหนึ่งที่ต้องมีผลตามมาให้ผู้ได้รับในการกระทำไว้เสมอ ทั้งกุศลหรืออกุศล ทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
เนื่องจากกรรมเป็นเรื่องซับซ้อนจะเสียเวลาเนิ่นช้าในการศึกษาเรื่องกรรมไปเสียมากถ้าจะให้รู้แจ้งจนจบขบวนการจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอันยาวนานมากมาก และเมื่อศึกษารู้แจ้งแล้วตนเองก็จะยังไม่พ้นบ่วงกรรมไปได้
พระพุทธเจ้าจึงจัดเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมไว้อยู่ใน "
อจินไตย " คือเรื่องที่ไม่ควรคิดหาต้นตอหาต้นสายปลายเหตุของมัน ด้วยเนื่องจากใช้เวลาเนิ่นช้าเป็นอันมากและไม่เป็นทางนำเอาไปสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง
ในชาติที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีเป็นพระเตมีย์ ทำไมพระองค์ไม่อยากเป็นกษัตริย์อีกแล้ว เพราะท่านนั้นก็เมตตามากไม่ได้มีเจตนาที่จะสั่งประหารใครคนใดถึงแม้คนเหล่านั้นจะเป็นคนผิดจริงๆก็ตาม ท่านไม่มีเจตนาจะสั่งประหารชีวิต แต่กฎระเบียบของสังคมเรื่องโลกๆที่จะต้องบีบคั้นให้ทำอย่างนั้น ถ้าไม่ได้เจตนาแล้วทำลงไปคิดว่าผลของกรรมนั้นไม่ส่งผล แล้วท่านพระเตมีย์จะหลบออกจากวังเข้าป่าปลีกวิเวกหรือ...? เพราะท่านรู้ถึงไม่เจตนากรรมก็คือกรรมทำลงไปแล้วส่งผลแน่นอน
เมื่อเราพอมีปัญญาบ้างแล้วเราจึงควรคิดอ่านให้พ้นทางดังพระเตมีย์
ไม่ใช่จะเป็นเอาแต่
"นักรบ"อย่างเดียว เป็น
"นักหลบ"เสียบ้างก็ได้
เรื่องของกรรมและการเสวยผลกรรมนั้นเป็นสัจจะความจริงอยู่อย่างนี้ และช่างซับซ้อนจนเหลือวิสัยของเราตอนนี้
เรื่องของกรรมวิบากนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้อยู่อย่างนั้น
ตราบใดที่เรายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เราจะต้องอยู่ภายใต้กฏของกรรมอย่างไม่มีข้อยกเว้น
แม้แต่พระบรมศาสดาเองเมื่อยังไม่ทรง
ดับขันธปรินิพพาน หลังจากพระองค์ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้ว วิบากกรรมในปางก่อนก็ยังตามส่งผลอยู่อีกหลายเรื่องก่อนที่พระองค์จะทรง
ดับขันธปรินิพพาน กรรมจึงบังเกิดผลได้ทุกภพภูมิในสังสารวัฏ ในเมื่อยังมีการจุติและอุบัติอยู่ ซึ่งก็คือการบังเกิดนามรูป แม้จะเป็นรูปพรหมที่รูปละเอียดดวงจิตสว่างไสว ก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรม
เพราะนามรูปและธาตุขันธ์นั้นเองเป็นตัวที่ทำกรรมและรับวิบากของกรรมที่จะเกิดขึ้น
เมื่อไม่มีนามรูปเกิดขึ้น นั่นจึงพ้นไปจากกฏของกรรม พ้นออกไปจากสังสารวัฏ ดังพวกท่าน
เหล่าศาสดาและบรรดาพระอรหันต์อันประเสริฐทั้งหลายที่เข้าพระนิพพานแล้ว ซึ่งที่นั่นกรรมไม่ให้ผลแล้ว
วิธีทางที่จะไม่ให้เกิดนามรูปขึ้นอีกในที่ใดของวัฎฎสงสารนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงชี้แจงไว้แล้วอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อน แต่เป็นเรื่องที่ประณีต ผู้ปฏิบัติพึงเห็นผลได้เป็นลำดับๆไป
เรื่องของกฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แล้วคุยกันแบบรู้บ้างเพียงบางส่วนอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง
คุยกันได้อีกเป็นล้านๆชาติก็ยังไม่จบไม่สิ้นครับ