แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 242
61  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 11:07:24 AM
"อย่าไปยินดี ยินร้าย ในการอยู่ การเป็น การตาย สังขารทั้งหลาย
ไม่ว่า เนื้อ เล็บ หนัง กระดูก ผม ขน เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาทั้งสิ้น
มันไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็นสิ่งอมตะ รอถึงวันแค่นั้นแหละ จะวันไหนก็แค่นั้นเอง ละวางซะ"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
62  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 11:05:25 AM
"บารมีต้องสร้างเอา เหมือนอยากให้มะม่วงของตนมีผลดก ก็ต้องหมั่น บำรุงรักษาเอา
ไม่ใช่แห่ไปชื่นชมต้นมะม่วงของคนอื่น ต้องไปปลูก ไปบำรุงต้นมะม่วงของตนเอง
การสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องสร้างต้อง ทำเอาเอง"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
63  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2016, 11:05:02 AM
ใกล้ตาย จึงนึกถึงพระ มีทุกข์มาถึง จึงนึกถึงพระศาสนา..."บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว
มักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจ ให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย
เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละ
จึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว"
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
64  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อ: ธันวาคม 17, 2016, 08:53:02 AM
ผู้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง
แต่ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา
คือปฏิบัติให้จริงตามที่สมเด็จพระบรมศาสดา
สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน เป็นผู้มีบุญสูงสุด
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประเสริฐสุด
ไม่มีที่เปรียบได้
เพราะพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่จะพาไปให้รู้จักพลังพิเศษ
คือความคิดที่สามารถทำลายความทุกข์ได้
ตั้งแต่ทุกข์น้อยจนถึงทุกข์ทั้งปวง
จนถึงเป็นผู้ไกลทุกข์สิ้นเชิง
ไม่มีเวลากลับมาให้เป็นทุกข์อีกเลย ตลอดไป.
จะทุกข์หรือไม่ทุกข์อยู่ที่ความคิดของตนเอง
นี้เป็นสัจจะคือความจริงแท้
ไม่ว่าผู้ใดจะเชื่อหรือจะไม่เชื่อก็ตาม
ก็เป็นความจริง
ผู้ใดจะทุกข์หรือไม่ทุกข์ อยู่ที่ความคิดของผู้นั้น.
ไม่มีผู้ใดที่ไม่ปรารถนาความไม่มีทุกข์
ทุกคนล้วนปรารถนาความไม่มีทุกข์
แต่ไม่ทุกคนที่ยอมรับความจริง
ว่าการที่หนีความทุกข์ไม่พ้นนั้น
เป็นเพราะคิดไม่เป็น
ถ้าคิดให้เป็นจะไม่มีความทุกข์ใดกล้ำกลายได้เลย
เพราะความคิดนั่นแหละ คือกำลังสำคัญ
ที่สามารถทำให้ทุกข์ไม่เกิดได้.
แสงส่องใจ อันดับ ๑๒
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปรินายก พระชนมายุ ๑๐๐ พรรษา
๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
_/|\_ _/|\_ _/|\_
65  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์ เมื่อ: ธันวาคม 16, 2016, 09:33:28 AM
ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป วัดโพธิสมภรณ์





66  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย หลวงตาศิริ อินทสิริ วัดถ้ำผาแดง อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น เมื่อ: ธันวาคม 16, 2016, 09:20:04 AM
67  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ต.คำชะอี จ.มุกดาหาร เมื่อ: ธันวาคม 15, 2016, 10:07:50 AM
คบสมภารชวนขึ้นชั้นฟ้า
คบพ่อค่าอายุยืนหมื่นปี
คบลัชชีตายวันนี้พรุ่งนี้
คบลูกคบหลานพานอยู่ในโลก
อะไรก็ตามเถอะหากรู้จักตนเอง
รู้ตัวเองแล้วมันมีหนทางแก้ไขได้
ปลดเปลื้องได้เป็นแต่รู้ตัวแล้ว
แต่ไม่แก้ไขตัวเองด้วยตนเจ้าของเองนั้นละมันจึงทุกข์
คัดจากหนังสือ โพธิ์พระเบื้องพุทธบาท
( มหาปุญฺโญวาท ๕ )
68  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี เมื่อ: ธันวาคม 13, 2016, 11:48:30 AM
ชิงธงในสงครามใหญ่ ครั้งสุดท้ายของชีวิต

หนึ่ง ถือศีล ๕
สอง ฝึกในรูปแบบ
สาม การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ตัวนี้ล่ะ ตัวแตกหัก
ถ้าเราซ้อมมาดี ทำในรูปแบบ คือการซ้อมที่จะปฏิบัติ
เหมือนนักมวยเข้าค่ายซ้อม
การเจริญสติในชีวิตประจำวัน คือการขึ้นชกมวยจริงๆ
ขึ้นเวทีจริงแล้ว จะแพ้จะชนะ เดี๋ยวก็รู้
หรือเหมือนทหาร ตอนที่ทำในรูปแบบเหมือนการซ้อมรบ
ตอนที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน คือการออกสนามรบ
แล้วสนามรบที่ทุกคนจะต้องเจอครั้งสุดท้าย
เป็นสนามรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย
ในชีวิตเราแต่ละคน คือวาระที่ใกล้จะตาย
วาระนั้นครูบาอาจารย์บอกว่าสงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายตอนนั้น
เป็นสงครามที่ไม่แพ้ก็ชนะ ไม่มีเสมอ
ครูบาอาจารย์บางองค์ท่านสอนถึงขนาดนี้
ว่าที่เราฝึกกันแทบเป็นแทบตายก็เพื่อนาทีสุดท้ายนี่ล่ะ
ไปชิงธงกัน ว่าจะชนะหรือจะแพ้
แต่ถ้าเราบรรลุมรรคผลแล้ว ตรงนี้ไม่มีความหมาย
แต่เรายังไม่บรรลุมรรคผลนี่ ไปชิงเอานาทีสุดท้าย
ว่าจิตดวงสุดท้ายของเราจะเป็นกุศลหรือจิตอกุศล
แล้วจิตที่เป็นกุศลอกุศล..บุญบาปนั่นล่ะ
จะพาเราไปสูภพภูมิใหม่
อย่าไปนึกว่าตายแล้วสูญ มันมองไม่เห็นเอง
ฉะนั้นเรามาฝึกภาวนาเข้า บางคนก็เห็น บางคนก็รู้อยู่
มันไม่ใช่ตายแล้วสูญไป
สงครามใหญ่ครั้งสุดท้ายกำลังรอเราอยู่ข้างหน้า
ต้องเจอแน่นอน
เพราะฉะนั้นเราฝึกตัวเองให้พร้อม
คนไหนที่จะพร้อม ?
คนที่มั่นใจในความดีของตนเองจะพร้อม
ถ้าเราไม่มีความมั่นใจในคุณงามความดีของตัวเอง
นาทีสุดท้ายจะไม่มีความพร้อมเลย
จะมีแต่ความกลัว ความหวั่นไหว
กลัวอะไร ?
กลัวความสูญเสียในสิ่งที่มีอยู่
กลัวว่าจะต้องไปเจอสิ่งซึ่งไม่ดี ไม่ดีอย่างเก่า
นี่ ใจมันจะกังวล
แต่ถ้าใจเรามีศีลมีธรรมสืบเนื่องไปเรื่อยๆ ไม่กลัวหรอก
มันมีความมั่นใจในตัวเอง
ทำสงครามด้วยความมั่นใจ กับทำสงครามด้วยความลังเลใจ
ฝีมือไม่เท่ากันหรอก
ฉะนั้นฝากเราฝึกนะ


ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ณ วัดสวนสันติธรรม
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
จากซีดีแสดงธรรม แผ่นที่ ๖๒ ไฟล์ 581108A
Cr. ธรรมะโดนใจ ๔ หน้า ๖๐-๖๒
69  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ต.คำชะอี จ.มุกดาหาร เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2016, 02:01:06 PM

"...ทวีปใหญ่ทั้ง ๔..."

“...ทวีปใหญ่ทั้ง ๔ เราทุกคนไปเกิดไปตายมาแล้ว เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา แต่การบำเพ็ญบารมีนั้นทำได้มากเฉพาะในโลกชมพูทวีป
(๑) คือ โลกของเรานี้เอง
(๒) อุตตรทวีป อยู่ทางทิศเหนือห่างจากโลกเราออกไป อยู่ใกล้โลกเรากว่าทวีปอื่น ผู้คนใบหน้ารูปเหลี่ยม ผอมสูง น้ำในแม่น้ำทั้งหลายออกสีเหลือง ไม่ใช่เหลืองขุ่นแต่เหลืองเหมือนสีน้ำผึ้งสด ดวงตาของเขาออกสีน้ำเงินเข้มกว่าสีฟ้า มีศีล ๕ ประจำใจทุกคน ผู้คนอยู่ดี กินดี ภูมิแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใหญ่ตรงตั้งสระน้ำมีบัวบานอยู่เป็นนิจ แผ่นดินราบเรียบเป็นน้ำเป็นคลอง เป็นบึงก็เป็นสัดส่วน
ทวีปนี้พระโมคคัลลาน์เถระเจ้า เคยไปบ่อย ไปบิณฑบาตเอาผลไม้มาถวายพระสงฆ์สามเณร
(๓) บรุพวิเทหทวีป อยู่ตรงทิศตะวันออกไกลออกไปหากวัดระยะอยู่ไกลอันดับ ๓ จากโลก...
ผู้คนหน้ากลม กายต่ำ ล่ำสัน ใช้ผ้าหมอกหมอง อายุ ๑๐๐ ปี ต้นไม้สูงต่ำอย่างโลกเราขึ้นเป็นแถวเป็นแนว ตายแล้วเกิดขึ้นแทนที่เหง้าเดิม แม่น้ำลำคลองสีขุ่นเหมือนน้ำแม่น้ำฝนตกใหม่ น้ำหลากหลายสายน้อยใหญ่แต่ไม่ลึก ผู้คนเคารพกันตามลำดับญาติ มีนายบ้าน มีผู้ครองนคร อ่อนน้อมถ่อมตนดีมาก
(๔) อมรโคยนทวีป อยู่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไกลจากชมพูทวีปโลกเราที่สุด ผู้คนงดงาม ใบหน้ารูปไข่ ผิวสีเหลือง อายุขัย ๔๐๐ ปี ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ แม่น้ำเป็นเกาะเป็นแก่งเป็นดอน มีการปกครองหลายเมือง เมืองหลวง เมืองใหญ่ เมืองน้อย หัวเมือง หมู่บ้าน ผู้คนมีหิริ โอตตัปปะ ทวีปนี้ท่านอาจารย์ตื้อ อจลธัมโม ว่า “เคยไปเห็นอยู่” ”...

ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาบุญท่านเจ้าของภาพถ่ายนี้ พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเผยแผ่โอวาทธรรมนี้ ทุกๆท่าน

70  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ประวัติของพระอริยสงฆ์ สาวกที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รวมทั้งปฏิปทาในการปฏิบัติ / พ่อแม่ครูอาจารย์พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2016, 08:06:11 AM
พ่อแม่ครูอาจารย์พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
71  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2016, 12:44:11 AM
แสดงธรรมครั้งสุดท้าย
ผ่านเข้ามาถึงตี ๓ ของวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๖ หลวงปู่ได้แสดงธรรมให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ในห้องนั้นได้รับฟัง
ธรรมที่หลวงปู่แสดงเป็นธรรมว่าด้วย ลักษณาการแห่งพุทธปรินิพพาน ท่านแสดงด้วยน้ำเสียงปรกติธรรมดา
และอยู่ในอิริยาบถนอนหงาย มีเนื้อหาดังนี้

"...เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้างพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว
พระองค์จึงได้ละ วิภวตัณหา นั้น เสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา
เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระองค์
ลำดับแรกก็เจริญฌาน ดิ่งสนิทไปจน สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปลึกสุดอยู่เหนือรูปฌาน
ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด
เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต

พูดง่ายๆ ก็คือ สู่สิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพียร ก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย
ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา
มีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสได้ว่ามันเป็นทุกข์
นี่แหละกระบวนการกระทำจิตตนให้ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นกระบวนการที่พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีเผยแผ่แจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตาม
เมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์

วิญญาณขันธ์แห่งชีวิตและร่างกายนั้น ได้ดับไปเสียตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่ปฐมฌานนานแล้ว
เพราะต้องการดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมขั้นแรกก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น
จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุด
อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน
เมื่อพระองค์ทรงดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่ จตุตถฌาน
คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั่นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ
เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับ เวทนาขันธ์
เป็น จิตขันธ์ หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิตเสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน
พร้อมทั้งมาดับจิตขันธ์หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก

เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อมไม่มีอะไรเหลือ
ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์
ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือว่าเรียก "พระนิพพาน"
อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้..."
วจีสังขารหรือวาจาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ หลังจากนั้น ไม่มีวาจาใดออกมาจากท่านอีกเลย

หลักธรรมคำสอน.. พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล)
จากประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์
72  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช สวนสันติธรรม ชลบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2016, 10:07:32 AM
ถ้าผิดแล้วอย่าไปคิดซ้ำ

อยู่ในโลกนะ พระพุทธเจ้าบอกว่า
อยู่ในโลกนะ จะประพฤติธรรม
จะถือศีลให้บริสุทธิ์หมดจดนี่ยาก
เพราะโลกมันสกปรก
แต่ว่าเมื่อเราทำผิดศีลผิดธรรมไปแล้วเนี่ย
" อย่าไปคิดซ้ำ "
เราต้องแบ่งเวลาเราเป็นช่วงเล็กๆ
นาทีนี้เราพลาดไปแล้ว โกหกไปแล้ว
เวลาที่เหลืออีกสามชั่วโมง ไม่ได้โกหก
เห็นไหม ส่วนที่ดีมีเยอะนะ
แต่เราก็ไม่มองส่วนที่ดี เรามองแต่ส่วนที่เลว
เหมือนเรามีผ้าขาวหนึ่งผืน สะอาดขาวทั่วผืนเลย
มีอะไรเปื้อนอยู่นิดเดียว เราจะดูแต่รอยเปื้อน
เราไม่ดูว่าผ้าส่วนใหญ่มันสะอาด
เราจะไปวนเวียน โอ้ย เปื้อนอยู่นั่น เปื้อนอยู่นั่น
คิดซ้ำอยู่อย่างนี้แหละนะ
ให้ดูนะ
ส่วนที่ดีมันเยอะกว่าส่วนที่ไม่ดี
จะไม่ให้มันไม่ดีเลยเนี่ย ไม่ได้
อยู่กับโลกมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
73  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก จ.เชียงใหม่ เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2016, 09:23:32 AM
"การตายของเทวดานางฟ้า"
....ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโปเล่าว่า ปกติเวลาเทพบุตร เทพธิดาจะจุติลงมาเป็นมนุษย์ ทุกองค์มีความตั้งใจจะลงมา สร้างคุณงามความดีเพื่อยกภูมิ ....ของตนให้สูงขึ้น แต่พอมาเป็น...มนุษย์จะลืม และหลงไปใน ..อบายมุขในโลก.. ไม่สร้างกรรมดีตามที่ตั้งใจ. ..ซ้ำกลับต้องตกต่ำลงกว่า ที่ตนเคยเสวยสุขอยู่เสียอีก..!! บนสวรรค์เมืองแมนแดนสวรรค์ท่านว่าสุขทุกขณะจิต .. ส่วนผู้เสวยบาปต้องลงนรก ลำพังความเดือดร้อนจากไฟนรก ก็แสนสาหัส.ไม่ต้องถูกลงทัณฑ์ ทรมาน ชาวนรกก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันอยู่แล้ว ... ในนรกท่านก็ว่าเป็นทุกข์ไม่มีเวลาสุข ทุกขณะจิตเช่นกัน..!!
"..พวกเราเองเป็นอย่างไร สว่างมา สว่างไป หรือ สว่างมา มืดไป หรือ มืดมา สว่างไป หรือ มืดมา มืดไป ทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่หามาจากโลกนี้ ยศตำแหน่งหน้าที่การงาน คำสรรเสริญติชมทุกสรรพเสียง ความสุขรื่นรมณ์ทุกประการ คนรักสัตว์เลี้ยงสิ่งของที่สะสมห่วงหาอาลัย สุดท้ายคืนโลกหมด เหมือนฝันไปจำต้องตื่น เหมือนอายุงานที่จำต้องเกษียณ ประกันชีวิตที่ทำชาตินี้ ควรเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อเอาไปใช้ในชาติหน้าได้จริง..."
--------------------------------------------------------------------
คติธรรมคำสอน : พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
วัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
74  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2016, 06:20:28 PM
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงพระโสดาบัน
ต้องปฏิบัติอย่างไร?
พระอาจารย์สุชาติ : ต้องทำบุญ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ แล้วพิจารณาร่างกายว่าไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปล่อยวางร่างกายได้ ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นโสดาบันได้ ถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังเป็นไม่ได้ แสดงว่ายังยึดติดกับร่างกายอยู่ ต้องเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา มันต้องแก่ เจ็บ ตาย
เหมือนกับเราเห็นร่างกายของคนอื่น ร่างกายของคนอื่น เราไปทุกข์กับเขามั๊ย เขาแก่ เขาเจ็บ เขาตาย
เรานี้ไม่ทุกข์เลยใช่มั๊ย ร่างกายของเราก็เหมือนร่างกายของเขา เพียงแต่เรามาครอบครอง
มายึดเป็นของเรา เราก็เลยไม่อยากให้มันแก่ เจ็บ ตาย พอไม่อยากมันก็เลยทุกข์
ก็ต้องไม่อยากไปอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ปล่อยมันแก่ไป เจ็บไป ตายไป

ถ้าอยากรู้ว่าปล่อยได้หรือไม่ ก็ลองไปทดสอบดู นั่งให้มันเจ็บ ปล่อยให้มันเจ็บไป ไม่ต้องลุก ไม่ต้องขยับ
ปล่อยให้มันเกิดดับไปของมันเอง เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ความเจ็บเดี๋ยวมันก็หายไป เกิดแล้วก็ดับไป
ถ้าปล่อยได้ก็แสดงว่าปล่อยความเจ็บได้แล้ว ความตายปล่อยได้มั๊ย ก็ลองไปอยู่ป่าช้าดู ไปที่ไหนมันน่ากลัวดู
ดูไปแล้วใจกลัวหรือเปล่า ใจทุกข์หรือเปล่า ยอมตายหรือเปล่า ถ้ายอมตายได้ก็ไม่กลัวแล้ว ไม่กลัวก็หายทุกข์ แสดงว่าปล่อยแล้ว
พระโสดาบันท่านปล่อยร่างกายได้ ปล่อยความแก่ ปล่อยความเจ็บ ปล่อยความตายได้ อยู่กับมันได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2559
75  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / Re: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย องค์ในหลวง รัชกาลที่9 ทรงสนธนาธรรมกับพระสงฆ์ เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2016, 06:55:01 AM


มุมน่ารักของพระป่า!! ...

เมื่อหลวงพ่อจวน "ผิดคิว" นึกว่า พล.ต.อ.วสิษฐ เป็น "ในหลวง"!!
พระป่ากรรมฐานมักจะมีเรื่องราวขำขันเกี่ยวกับตัวท่านเองอยู่เสมอ เนื่องจากท่านใช้ชีวิตทั้งชีวิตหมดไปกับการต่อสู้กับกิเลสในใจของตนเอง
ซึ่งการต่อสู้กับกิเลสนี้จะให้ได้ผลดีก็ต้องต่อสู้อยู่ในป่าเขาถิ่นทุรกันดาร เพราะจะได้มีอุบายธรรมสำหรับทรมานกิเลสได้ดีกว่า
การคลุกคลีอยู่กับความวุ่นวายในเมือง ด้วยเหตุที่อยู่แต่ในป่าในเขานี่เอง ท่านจึงไม่ได้รู้เรื่องราวทางโลกเลย ...
และนั่นก็เป็นที่มาของเรื่องที่จะเล่าดังต่อไปนี้
ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชกรณียกิจพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านนาต้อง
ซึ่งอ่างเก็บน้ำแห่งนี้อยู่ใกล้กับภูทอกหรือวัดเจติยาคิรีวิหารภูทอก อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
ซึ่งเป็นวัดหลวงที่ "หลวงพ่อจวน กุลเชฏโฐ" สร้างและจำพรรษาอยู่
ตามหมายกำหนดการของสำนักพระราชวังนั้นยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าในหลวงจะเสด็จมาที่วัดภูทอกด้วยหรือไม่
แต่ทางเจ้าหน้าที่ของจังหวัดก็เตรียมนิมนต์เชิญหลวงพ่อจวนไปนั่งในปะรำพิธีรับเสด็จด้วย ซึ่งในเรื่องนี้หลวงพ่อเห็นว่าไม่เหมาะสม
เพราะท่านทราบมาว่าในหลวงจะเสด็จมาทอดพระเนตรอ่างเก็บน้ำเป็นการเฉพาะ การที่ท่านจะไปนั่งอยู่ในที่เช่นนั้นอาจเกิดการเข้าใจผิดได้
ท่านจึงบอกกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ทางจังหวัดได้ส่งมานิมนต์ท่านว่า
"พระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ทราบเรื่อง ถ้าเสด็จมา...ผ่านไป...ไม่ทราบว่าพระอะไร มานั่งทำไม อาตมาก็เสีย
พระวินัยก็มี...ไม่ให้ประจบพระราชา ท่านก็จะเสียว่าไม่เคารพพระ ... ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น"
แต่รองผู้ว่าราชการจังหวัดก็ยืนยันกับหลวงพ่อจวนว่า
"เรื่องนี้ทางกรุงเทพฯ แจ้งยืนยันมาแล้วครับหลวงพ่อ...ว่าทรงมีพระราชประสงค์จะขอพบกับหลวงพ่อ
แต่เหตุที่ไม่สามารถเสด็จมาที่วัดภูทอกได้เพราะต้องเสด็จไปทอดพระเนตรโครงการชลประทานอีกถึงสองตำบล
เมื่อตะกี้นี้ยังมีวิทยุมาแจ้งว่า...ยังทรงถามเรื่องเครื่องไทยทานที่จะถวายหลวงพ่อว่าเรียบร้อยดีไหม?"
หลวงพ่อจวนได้ฟังคำยืนยันจากรองผู้ว่าฯ ก็สบายใจขึ้นที่ไม่ผิดพระวินัย แต่สิ่งที่หลวงพ่อพูดต่อไปก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างหัวเราะกันถ้วนหน้า ...
"แต่ว่า...อาตมาจะทราบได้อย่างไรล่ะ...ว่าคนไหนคือ ‘ในหลวง’? "
เมื่อเห็นทุกคนขำกันอย่างนั้นแล้ว หลวงพ่อจวนก็อายเล็กน้อยก่อนจะรำพึงว่า
"ก็มันไม่ทราบจริงๆ"
รองผู้ว่าฯ จึงรับปากกับหลวงพ่อจวนว่า... เอาไว้ถึงเวลาใกล้ๆ จะเสด็จ จะมากระซิบบอกหลวงพ่อเอง
"... แต่หลวงพ่อก็จำง่ายๆ ว่า คนที่ใส่เครื่องแบบเต็มยศ ในมือถือวิทยุสื่อสาร แล้วเดินนำหน้าสุด คนนั้นนั่นแหละคือ...ในหลวง!!"

เมื่อถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จจริงๆ หลวงพ่อจวนก็นั่งเป็นพระประธานในปะรำพิธี แต่ทั้งๆ
ที่มีการตระเตรียมเตี๊ยมกับเจ้าหน้าที่ของจังหวัดเป็นอย่างดี ก็มีรายการ "ผิดคิว" เกิดขึ้นจนได้ ...
นั่นก็คือ ในขณะรับเสด็จ รองผู้ว่าฯ คนนั้นดันไปวุ่นวายอยู่กับการรับเสด็จ จนลืมบทที่จะต้องมากระซิบบอกหลวงพ่อจวนให้รู้ว่าคนไหนคือ
"ในหลวง"!!
ในงานตอนนั้น ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่า หลวงพ่อจวนท่านสะดุ้งโหยง...เมื่อในหลวงทรงกราบนมัสการท่านแทบตัก!! ...
และทรงมีพระราชปฏิสันถารสนทนาธรรมกับท่านอยู่เป็นเวลานาน
ต่อมาหลังจากผ่านพ้นการรับเสด็จไปแล้ว ลูกศิษย์ที่สังเกตเห็นหลวงพ่อจวนสะดุ้งโหยงตอนในหลวงทรงกราบนมัสการก็มาถามกับท่านในเรื่องนี้
ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า
"ก็รองผู้ว่าฯ ไม่ได้มาบอกเราเลยว่าคนไหนคือในหลวง เราก็สังเกตตามที่รู้มาว่า ในหลวงคือคนที่แต่งเครื่องแบบ
ในมือถือวิทยุสื่อสาร เดินนำหน้าสุด เราก็มองตามคนคนนั้นไป...เห็นคนคนนั้นเดินผ่านเราไปเลย...
ก็เลยประหลาดใจเมื่อมีคนมากราบที่หน้าตัก!!"
ความจริงแล้ว คนที่แต่งเครื่องแบบเต็มยศ มือถือวิทยุสื่อสาร เดินนำหน้าสุด นั้นก็คือ "พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร"!!
เมื่อลูกศิษย์ได้ฟังคำตอบจากหลวงพ่อจวนก็ขำกันใหญ่ ... ท่านจึงพูดอย่างอารมณ์ดีว่า
"ก็เรานึกว่า...ท่านจะแต่งเครื่องแบบ"!!!
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 242