KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ความสำคัญของพระพุทธศาสนา และทุกอย่าง เกี่ยวกับ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า => ประวัติของพระพุทธสาวก สมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: samarn ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 02:50:36 PM



หัวข้อ: พระโกณฑธานะเถระ
เริ่มหัวข้อโดย: samarn ที่ พฤศจิกายน 06, 2008, 02:50:36 PM
พระโกณฑธานะ ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เดิมชื่อว่า ธานมาณพ เมื่อเจริญเติบโตแล้ว ได้เข้าศึกษาวิทยาตามธรรมเนียมของพวกพราหมณ์จนจบไตรเพท

     ต่อมาได้รับการบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ท่านได้อุปสมบท ก็ปรากฏว่ามีมหาชนได้พบเห็นรูปหญิงสาวรูปหนึ่งเที่ยวติดตามไปข้างหลังของท่าน แต่ตัวท่านเองมองไม่เห็นรูปนั้น ครั้นท่านเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ชาวบ้านได้ถวายภิกษาแก่ท่านสองส่วนแล้วพูดว่า ส่วนนี้ถวายท่าน สำหรับส่วนนี้ให้หญิงสาวสหายของท่าน ตั้งแต่นั้นมาพวกมนุษย์จึงพากันเรียกท่านว่า โกณฑธานะ ส่วนพวกภิกษุผู้ไม่รู้ความจริงเมื่อเห็นอาการเช่นนั้นก็เกิดความรังเกียจ กลัวความเสียหายจะเกิดแก่พวกตนด้วย จึงบอกให้อนาถปิณฑิกเศรษฐีขับไล่ท่านออกจากวัดไปเสีย อนาถปิณฑิกเศรษฐีก็ไม่ขับ จึงบอกแก่นางวิสาขา มหาอุบาสิกา แม้นางวิสาขาก็ไม่ขับไล่เช่นกัน พวกภิกษุเหล่านั้นจึงถวายพระพระทูลแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อให้พระองค์ทรงขับไล่ท่านออกไปเสียจากแว่นแคว้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปสู่พระวิหารด้วยพระองค์เองทรงพิสูจน์จนทราบว่า หญิงสาวที่มองเห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ไม่ใช่คน จึงเกิดความเลื่อมใส รับสั่งให้ท่านเข้าไปบิณฑบาตในพระราชวัง และบำรุงด้วยปัจจัยสี่ ครั้นพวกภิกษุเห็นดังนั้นก็กลับซ้ำติเตียน ว่าคนชั่วช้าทั้งพระราชา ทั้งพระโกณฑธานะ ท่านพระโกณฑธานะโกรธจึงกล่าวโต้ตอบ พวกภิกษุเหล่านั้นบ้าง ความทราบถึงพระบรมศาสดา พระองค์จึงทรงตำหนิแล้ว ทรงห้ามมิให้พวกภิกษุกล่าวตอบโต้กันและกัน และทรงแสดงเรื่องรูปของหญิงสาวนั้นให้พวกภิกษุได้ทราบความจริง แล้วได้แสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนด้วยคาถาสองคาถา ในเวลาจบเทศนาท่านพระโกณฑธานะตั้งอยู่ในโอวาทที่พระบรมศาสดาตรัสสอน ตั้งใจบำเพ็ญความเพียรจนได้บรรลุพระอรหัตตผล เป็นอเสขบุคคลในพระพุทธศาสนา

     ต่อมาพระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จับสลากเป็นปฐม ครั้นท่านพระโกณฑธานเถระดำรงชนมายุสังขารอยู่โดยสมควรแก่กาลแลวก็ดับขันธปรินิพพาน