วิถีแห่งท่าน phonsak

<< < (3/11) > >>

AVATAR:
เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่? « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 10:19:38 pm »


เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่

ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร ?

ตอบ 

เทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน = พระวิสุทธิเทพ หรือพระอรหันต์
อธิบาย : เทพในทางพุทธศาสนาเถรวาทมี 4 ประเภท 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3. วิสุทธิเทพ 4. เทวาติเทพ
อันหมายถึง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 3 ประเภท

คือ

1. พระปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่น  พระศรีศากยะมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
2. พระสัทธาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า
3. พระวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า

เทพในขั้น 3 ที่เรียกพระวิสุทธเทพ และในขั้น 4 ที่เรียกเทวาดิเทพ = พระอรหันต์ พวกท่านล้วนเป็นอมตะ จากพุทธดำรัสที่ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ  ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

ส่วน 1.สมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ เป็นเทพที่ไม่เป็นอมตะ  แม้แต่อรูปพรหมที่มีอายุยืนที่สุดในหมู่เทพ  ก็มีอายุแค่ 84,000 มหากัป ก็ต้องจุติ(ตาย)  ในสีหสูตร ขันธ. สํ. (๑๕๕, ๑๕๖) พระพุทธองค์จึงตรัสว่า:

"แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน"

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล "

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จึงเป็นเหล่าเทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า"  แต่ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล พระพุทธองค์จึงเรียกพระพุทธเจ้าว่า "พุทธะ" และบรรดาสาวกว่า "อนุพุทธะ"

พราหมณ์ ! ท่านจงจำเราไว้ว่า เป็น "พุทธะ" ดังนี้เถิด  บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๔๙/๓๖.


Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 01:00:28 pm »

ผู้ตรัสรู้ พบหนทางพ้นจากวัฏสงสาร ได้มีพระองค์เดียว ในแต่ละยุค


นอกนั้นคือ  โพธิสัตว์ที่ อธิษฐานสร้างเป็นพระพุทธเจ้า  เท่านั้น  ;D


Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
AVATAR « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:02:03 am »

คนเค้าอยาก...ให้เค้าโชว์ไป


Re: เทพเจ้าอมตะที่ชาวโลกเรียกว่า "พระเจ้า" มีหรือไม่?
the suffering « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:14:05 am »

ก็  ยังดี

ที่มี(ข้อมูล) ดี ๆ มาโชว์  ;D



AVATAR:
พระเจ้า=พระพุทธเจ้า + วิธีการเข้าหาพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ของพุทธและคริสต์ « เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 03:00:57 pm »

ทกท่านครับ รวมทั้งคริสตศาสนกชนด้วย


1. เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า?

องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ จิตมหาบริสุทธิ์  พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า พระพุทธเจ้าองค์ปฐม หรืออาทิพุทธเจ้า หรือพระธรรม สาเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าพระเจ้า? แต่เพิ่มคำว่า "พุทธ"ไว้ตรงกลางด้วย = พระ(พุทธ)เจ้า  เพราะพระองค์ท่านรู้ว่า ไม่มีการสร้างอะไรด้วยอัตตาของจริงเลย 

ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่าที่ถูกอัดแน่น มีความเข้มข้ม ความถี่และคลื่นต่างระดับกันเท่านั้น  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ และวิทยาการทางกายภาพของเรา ก็ก้าวหน้าไปได้แค่ขึ้นหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้ชัดเจนได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไร  จึงต้องใช้จิตเท่านั้น  แล้วคนที่จะมีจิตรู้ถึงขั้นนั้นอย่างน้อยต้องบรรลุอรหันต์ ผมจึงขอผ่านเรื่องนี้ไปก่อน

เอาเป็นว่า...ทุกสรรพสิ่งที่ท่านรู้เห็นรอบตัวท่าน  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ข้าวของ เงินทอง รถยนต์ ล้วนเป็นของปลอม ที่เกิดจากจิตของพวกท่านทำบุญกุศลเอาไว้ เลยต้องมีและได้สิ่งเหล่านี้  คนที่ไม่ค่อยทำบุญกุศล  ก็ไม่ค่อยมี และไม่ค่อยได้สิ่งเหล่านี้  ความตายและคนทุกข์ยากต่างๆล้วนเกิดจากเขาเคยทำบาปหรืออกุศลเอาไว้  จิตของเขาจึงโดนหลอกหลอนให้คิดปรุงแต่งว่า มีการเสียทรัพย์ เสียแขนขา ฯลฯ ซึ่งเป็นของเขา

พูดง่ายๆ...พวกเราทั้งหมดกำลังอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ และโลกแห่งความฝันของจิตใต้สำนึกของท่าน  ซึ่งเชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกของคนอื่นๆ เหมือนกับระบบอินเตอร์เน็ต

สรุป

คนที่เรียกสิ่งสูงสุดว่า พระเจ้า เพราะเขาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นของจริงของแท้  แต่คนที่รู้แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ใช่ของจริง เป็นแค่สิ่งมายาเกิดจากกรรม จะเรียก "พระเจ้า ว่า พระพุทธเจ้า"


2. พระ(พุทธ)เจ้าอยู่ในจิตของพวกท่านทุกท่าน  แต่พวกท่านจะไปหาพระองค์ได้อย่างไร?

ตอบว่าเป็นการยากเหลือเกินที่มนุษย์ที่โดนปกคลุมด้วยกิเลสตัณหาจะหาพระ(พุทธ)เจ้าในตัวเองเจอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีมารในใจพวกท่านคอยล่อหลอกด้วย  มีแต่ผู้มีบารมีเท่านั้น จึงจะพ้นบ่วงมารที่คอยดักจับได้  อย่างไรก็ตาม ศาสนาพุทธเถรวาท ศาสนาพุทธมหายาน และศาสนาคริสต์ ก็มีวิธีการเข้าไปหาพระพุทธเจ้า  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิที่ไหนให้เสียเวลา


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของเถรวาท  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


ศาสนาพุทธเถรวาท พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระรัตนตรัยและพระพุทธเจ้าเอาไว้ก่อน จะไม่ตกนรก ขึ้นสวรรค์อย่างเดียว แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยๆในโลก

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของมหายาน  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


คนในประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศที่นับถือศาสนาพุทธมหายาน  พวกเขาซื้อประกันไว้แล้วว่า เมื่อเขาตายไปแล้วจะไม่ตกนรกในสังสารวัฎฎ์ โดยเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี

ในหลายพระสูตรมากทีเดียว  พระพุทธองค์สอนให้พึ่งพระพุทธเจ้านามพระอมิตาภพุทธเจ้า เพื่อเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดี จะไม่ตกนรก แล้วก็ค่อยๆฝึกวิชาละกิเลสต่อไปเรื่อยในแดนสุขาวดี  ไม่ต้องไปเกิดในภูมิต่ำ และไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์   เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่าปณิธานข้อหนึ่ง ที่ภิกขุธรรมกรตั้งจิตปณิธานไว้ 48 ประการต่อพระพักตร์ของ พระโลเกศวรพุทธเจ้า ก่อนที่ภิกขุธรรมกรจะบรรลุธรรมกลายเป็นพระพุทธเจ้า นาม "อมิตา" มีว่า:

"ถ้าสรรพสัตว์ทั่วทุกทิศ มีจิตศรัทธาปราถนาจะบังเกิดในสุขาวดีแล้ว พึงมนสิการในใจอยู่ 1 ครั้ง หรือ 10 ครั้งก็ตาม หากมิได้อุบัติตามปราถนา ข้าพระบาท(ภิกขุธรรมกร) จักไม่ขอบรรลุโพธิญาณ"


--- วิธีการเข้าไปหาพระ(พุทธ)เจ้าของชาวคริสต์  โดยไม่ต้องไปตกนรกและอบายภูมิ


องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งพระโพธิสัตว์ต่างๆมาเพื่อจะช่วยมนุษย์  พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งชื่อ "เยซู"  องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า พระบิดา ได้ประทานพุทธเกษตร หรือสวรรค์แบบหนึ่งให้ปกครอง  สวรรค์ของพระคริสต์นี้ จะเข้าไปได้ต้องทำตามกฎที่ท่านตั้งไว้ คือ ทานปังปอน และดื่มเหล้าองุ่น จากสาวกที่สืบต่อกันมาของพระองค์ เป็นตัวแทนของร่างกายและโลหิตของพระเยซู   วิญญาณของท่านก็จะไม่ต้องมาวนเวียนรับกรรมในโลกอีก ยกเว้นว่า ท่านต้องการ = เมื่อเข้าไปอยู่ในศาสนาคริสต์  เมื่อตายแล้ว วิญญาณจะไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์  และท่านจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป 

หลักความเชื่อและคำสอนของคริสเตียน

10.3 ผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด   จะได้อยู่กับพระเจ้า และไม่มีการลงโทษ น้ำตา ความเจ็บปวด ความมืด และความบาปอีกต่อไป เป็นสถานที่บริสุทธิ์ เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ด้วยเหตุนี้ สวรรค์ของพระคริสต์ จึงไม่ใช่สวรรค์นิรันดรของพระบิดา หรือนิพพาน  แต่สวรรค์ของพระคริสต์เกิดขึ้นจากการไถ่บาปด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์   ซึ่งเราจะอยู่ที่นั่นได้ตลอดไปเช่นกัน  แม้ว่าเราจะทำจิตให้บริสุทธิ์ระดับพระเยซูไม่ได้

อนึ่ง...พึงระลึกว่า  พระเยซูสร้างหลักประกันว่าจะไม่ตกนรกของศาสนาคริสต์

มัทธิว 7:13-14 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

13 "จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก"
14 "เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย"

“ประตูแคบ" = สรวงสวรรค์ที่พระบิดาประทานให้พระคริสต์ปกครอง
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด

โรม 3:23 - การเข้าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความดีของเรามีมากกว่าความชั่ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสักคนที่จะเข้าไปได้ “แต่ถ้าพวกเขาได้รับความรอดโดยทางพระคุณของพระเจ้า... "

.....ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ "ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธเถรวาทมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะสมมุติสงฆ์ของไทยไม่ยอมสอนเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม และไม่สอนเรื่องให้ยึดเอาพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัยเป็นสรณะแบบจริงๆจังจัง  เพียงแต่พูดๆไปอย่างนั้นเอง

สรุป

 สวรรค์ของพระคริสต์ = พุทธเกษตร ชัดๆ   เพราะสวรรค์ของพระคริสต์มีอยู่สำหรับผู้เชื่อจะได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไป ไม่มีสิ้นสุด  และมีกฎการรับเข้าไปในสวรรค์(พุทธเกษตร)แห่งนี้ด้วย ... เฉพาะคนที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว คือ ผู้ถูกไถ่ให้พ้นบาป ด้วยโลหิตขององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร ว่า:

“พระโพธิสัตว์ย่อมบำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์โปรดสรรพสัตว์ จึงอาจสามารถให้สำเร็จซึ่งพุทธเกษตรได้ อุปมาดังบุคคลผู้ปรารถนาจักสร้างปราสาทในแผ่นดินที่ว่าง เขาย่อมยังกิจที่ปรารถนาให้สำเร็จได้ แต่ถ้าเขาไม่อาศัยแผ่นดินกลับไปอาศัยอากาศเพื่อนสร้างปราสาทไซร้ ย่อมไม่มีหนทางสำเร็จฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีอุปไมยฉันนั้น กล่าวคือ ในการยังพระพุทธเกษตรให้สำเร็จบริบูรณ์ ก็เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง”

ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงสามารถสร้างพุทธเกษตร ที่ชื่อว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์ได้ เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์นั้นเอง โดยผู้ที่จะสามารถเข้าไปได้ต้องเชื่อและศรัทธาในพระเยซู และรับพิธีมิสซา ดื่มเหล้าองุ่น แทนโลหิตของพระเยซู ทานปังปอน แทน ร่างกายของพระเยซู

AVATAR:
พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่ « เมื่อ: ตุลาคม 03, 2010, 05:54:17 pm »

'ไร้สังกัด' เขียนว่า:
พรหมชาลสูตรที่ ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.


ไม่ว่าจะเป็น จิต เจตสิก รูป หรือ กาย ก็ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะไปเหลือจิตบริสุทธิ์ อะไรที่ไหน


เอาพรหมชาลสูตรที่ 1 มาลง  แต่คุณไม่เข้าใจความหมายอะไรเลย

พรหมชาลสูตรที่ ๑.

พระพุทธพจน์

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่"


พรหมชาลสูตรที่ ๑.ชี้ชัดว่า

กายของตถาคต......... ยังดำรงอยู่  = กายนี้เป็นกายแท้ ที่เป็นอัตตา(เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ = กายอนัตตาที่ตายไป เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ปรมัตถธรรม มี 4 อย่าง คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน     จิตหมายถึงจิตสังขาร   นิพพานหมายถึงนิพพานจิต

พระสูตรในนิกายเซ็น: พระพุทธเจ้าตรัสว่า " ดูกรกัสสปะ ท่านมีธรรมจักษุครรถ์อันถูกต้อง เพราะนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี ”

คาถาพระนิพพานนิมิต
" นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา


Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
phonsak « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:04:15 pm »
อ้างจาก: ครูนภา ที่ ตุลาคม 03, 2010, 03:37:46 PM


    ส่วนตถาคตเป็นผู้ถอนตัญหาอันจะนำให้เวียนอยู่ในภพได้แล้ว (ถ้า)กายยังดำรงอยู่ตราบใด ก็มีผู้แลเห็น (แต่)เมื่อกายทำลายไปแล้ว ก็ไม่มีผู้แลเห็น.


พระพุทธเจ้าตรัสสอนมาทางเถรวาทว่า กายพระองค์มี 2 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย

พระพุทธเจ้าตรัสสอนไปทางมหายานว่า กายพระองค์แยกให้ละเอียดแล้วมี 3 กาย คือ กายเนื้อ(นิรมาณกาย) และธรรมกาย และสัมโภคกาย(กายทิพย์ที่วนเวียนอยู่ในปรโลกให้ผู้คนพบเห็นได้)


คุณครูนภา ไม่มีทางเห็นพระพุทธเจ้า  เมื่อกายเนื้อ(นิรมานกาย)ของพระองค์ตายไปแล้ว  เพราะคุณยังไม่ตาย และยังเข้าไม่ถึงโลกุตตระธรรม  เพราะพระพุทธองค์บอกวิธีพบเห็นพระองค์ไว้แล้วว่า

"ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"

แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อสด หลวงปู่ดู่ ฯลฯ ท่านสามารถพบพระพุทธเจ้าได้ เพราะพวกท่านได้เข้าถึงโลกุตตระธรรมแล้ว  แต่ถูกไอ้พวกปริยัติที่ไม่ปฏิบัติ ไปกล่าวหาพวกท่านว่า "วิปัสสนูกิเลส"


Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
the suffering « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:43:49 pm »

เฮา เจอแต่พระธาตุเขี้ยวแก้ว ที่พุทธมณฑล นครปฐมที่มาจากจีน


และยืนยันว่า ได้สัมผัส พลัง ของพระองค์  (ไม่ทราบว่าเป็นพลัง กลุ่มบุญญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์)

อย่างถึงจิต ถึงใจจริงเชียว



ถวายบังคม กราบงามๆ ไป 3 ครั้ง

คนอื่นๆ ในห้องโถงเป็น ร้อย ก็ไม่เห็นเป็นอย่างนี้  ;D


Re: พรหมชาลสูตรชี้ว่า กายพระพุทธเจ้ายังคงอยู่
AVATAR « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:47:34 am »

ยังอยู่...  ;)  อันนี้เห็นด้วยกับคุณลุง

AVATAR:
นิพพานดิบ/นิพพานสุก + นิพพานพุทธสภาวะ/เมืองพระนิพพาน « เมื่อ: ตุลาคม 18, 2010, 12:30:17 am »

อ้างจาก: Owner board ที่ ตุลาคม 15, 2010, 08:06:39 PM


   แล้วนิพพานไม่ได้เป็นบ้านเป็นเมืองที่มีแต่ความสุขหรอกหรือ?
   
   อย่างนั้นก็แสดงว่า เมื่อใดที่อุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต ใช่หรือไม่?
   
   อย่างนั้นนิพพานเราก็สัมผัสกันได้เสมอๆในชีวิตประจำวันของเรา ใช่หรือไม่?


   
บ้านเมืองเป็นแค่สิ่งภายนอก  (อายตนะภายนอก)   ความสุขมันอยู่ในจิตครับ  เมื่ออุปกิเลสจรจากไป นิพพานก็จะปรากฏแก่จิต แต่จิตมันยังครองขันธ์ 5 หรือกายอยู่  พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า "นิพพานดิบ"  ถ้าดับขันธ์ 5 ไปแล้ว เรียกว่า "นิพพานสุก"
   
ในคิริมานนทสูตร  (อุบายรักษาโรค) : ?คนหลง? และ ?คนรู้? http://www.dhammasavana.or.th/article.php?a=138
   
   ดูกรอานนท์  อันว่าความสุขในพระนิพพานนั้นมี ๑ ประเภท  คือ  ดิบ ๑  สุก ๑  ได้ความว่า  เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ได้เสวยสุขในพระนิพพาน  นั้นได้ชื่อว่า  พระนิพพานดิบ  เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นชื่อว่า  พระนิพพานสุก .....
   
พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ  ควรให้รู้  ให้เห็น  ให้ได้  ให้ถึงไว้เสียก่อนตาย  ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้ว  ตายไปก็จักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย   ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่มีทางได้  แต่รู้แล้วเป็นแล้ว  พยายามจะให้ได้ให้ถึง  ก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา


ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพานมีอย่างเดียว  ตายแล้วจึงจะได้  ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนหลง   ส่วนพระนิพพานดิบนั้น  จักจัดเอาความสุขอย่างละเอียดเหมือนอย่างพระนิพพานสุกนั้นไม่ได้  แต่ก็เป็นความสุขอันละเอียด  สุขุม  หาสิ่งเปรียบมิได้อยู่แล้ว  แต่หาก ยังมีกลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่  จึงไม่ละเอียดเหมือนพระนิพพานสุก  เพราะพระนิพพานสุกไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์จะมากล้ำกราย  ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง  แต่พระนิพพานดิบนั้น  ต้องให้ได้ไว้ก่อนตายฯ
   
นิพพาน ปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง = ?

ภิกษุทั้งหลาย อายตนะ (นิพพาน) นั้นมีอยู่.    ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ   โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง   ย่อมไม่มี ในอายตนะนั้น.
   
ภิกษุทั้งหลาย  เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ.   อายตนะนั้นหาที่ตั้ง อาศัยมิได้   มิได้เป็นไป   หาอารมณ์มิได้ นั้นแลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.? 

   ขุ.อุ.๒๕/๑๕๘/๒๐๖-๒๐๗
   

 พุทธพจน์ข้างต้นน่าจะหมายถึง ธรรมกายที่เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น ที่เป็นแสงสุกสกาวในความว่างเปล่า  อย่างไรก็ตาม เมืองพระนิพพานก็มี เพราะความสุขมันอยู่ในจิต  ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่รับรู้ที่เป็นอายตนะข้างนอกจิต  ธรรมกายรวมทุกจิต(อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม) จึงได้นิรมิตฝั่งนี้ที่เป็นอนัตตา(ไม่เที่ยง มีทุกข์ มีความแปรปรวน เกิด แก่ เจ็บ ตาย) คือ สังสารวัฏฏ์ มี นรก สวรรค์ พรหมโลก และนิรมิตฝั่งโน้นที่เป็นอัตตา (เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่ปรปรวนเกิด แก่ เจ็บ ตาย - เมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรขึ้นมา     

 นอกจากนี้  อาทิพุทธ หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม ยังให้สิทธิกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ รวมทั้งพระโพธิสัตว์อรหันต์ สามารถนิรมิตเมืองพระนิพพาน หรือพุทธเกษตรของตนขึ้นมาเองได้ด้วย เพื่อให้พระโพธิสัตว์องค์นั้นหรือหลายองค์ได้สอนธรรมให้กับผู้ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ในที่นั้น  ซึ่งไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ เช่น แดนสุขาวดี ของพระอมิตาพุทธเจ้า และสวรรค์ของพระคริสต์ ที่เหล่านี้ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสังสารวัฏฏ์ แต่อย่างใด  เพียงแต่วิญญาณที่จะเข้าไปได้  ต้องทำตามกติกาที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์องค์นั้น วางไว้ก่อนเข้าไปเท่านั้นเอง
   
ถ้าท่านยังสงสัยต่อว่า ทำไมนิพพานมี 2 อย่าง มีทั้งพุทธภาวะ(ธรรมกาย)และมีทั้งพุทธเกษตรแดนนิพพาน  แสดงว่าท่านไปให้ความใส่ใจกับข้าว ของ เมือง ในพระนิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก  และไม่ใส่ใจกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของพวกท่าน ที่ยังต้องเผชิญยถากรรมอยู่ในสังสารวัฎฎ์ เพราะไปหลงกับสิ่งภายนอก ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากว่าจะตกนรก
   
   พระอรหันต์ต่างๆชี้เรื่องนิพพานที่เป็นพุทธภาวะดั้งเดิม กับนิพพานที่เป็นบ้านเมืองไว้ดังนี้
     
      1. หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:
     
     "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
     
.....เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก?
     
     2. หลวงปู่ดุลย์ อธิบายว่า :
     
      " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
     
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)

รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน
     
      หลวงปู่ดูลย์ อตโล  "นิพพานเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี  หาที่เปรียบไม่ได้"
     
เข้าใจหรือยังครับ  นิพพานมันมี 2 ระดับ  ระดับมีบ้านมีเมืองสำหรับบุคคลศูนยตา  และระดับเป็นความว่างเฉยๆ ที่แสงสุกสกาวบริสุทธิ์อยู่ (ธรรมศูนยตา) หรือพุทธภาวะเริ่มต้น[/b]
   
ถ้ายังไม่เชื่ออีก ลองอ่านเรื่อง วิมาน37สาย สายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  ในhttp://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15404.0  แล้วคุณจะพบเมืองพระนิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่  ผมคัดมานิดนึงให้ดู
     
   " นี่เวลาถามว่า คณะสายของข้าพระพุทธเจ้ามันนี่มีกี่สายนี่ ข้างหลังบ้านออกไปนี่ ท่านบอกว่ามี 37 สาย............"
     
   " เป็นอันว่า 37 สายนี่ วิมานเต็มไปหมด ไม่มีพร่อง สายหนึ่งประมาณสองแสนโยชน์ ว่าจะย่องดูมานิดหนึ่ง คือว่าเรื่องของเรื่องมันก็มีเด็กเขาสงสัยว่า สายมันมีกี่สาย หัวหน้าทีมสร้างบ้านใหญ่อยู่ด้านหน้า ต่อมาก็มีถนนซอยเข้าไป ที่ทางด้านของพระนิพพานนี่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มของ พระพุทธกัสสป อย่างพระพระอะไร กกุสันโธ ท่านอยู่กลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มจัดเป็นสายข้างหลังพระโกนาคมโน ท่านก็อยู่กลุ่มหนึ่ง วิมานของพระพุทธเจ้าตั้งข้างหน้า บริวารก็เป็น สายอยู่ข้างหลัง พระพุทธกัสสป ท่านก็ตั้งจุดหนึ่งของ สมเด็จพระมหาสมณโคดม ก็ตั้งจุดหนึ่ง"

AVATAR:
อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า « เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:35:24 am »

อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า


อ้างจาก: prachabeodee ที่ ตุลาคม 14, 2010, 10:21:34 AM

เหตุใดคุณ พลศักดิ์และคุณ tuenumที่โพสต์มานี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างพุทธและคริสต์,พราหมณ์ เท่านั้น......ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า(รากฐานเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา)........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???........
อาทิตย์เป็นเทพสูงสุด...ไง.???

1. คุณป้าprachabeodeeครับ  คุณป้ารู้หรือเปล่าว่า ชื่อตระกูลหรือชื่อโคตรของพระพุทธองค์ คือ โคตม โคตะมะ โคดม หมายถึง แสงสว่างอันรุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งสรรพชีวิต = พระเจ้า พระพุทธองค์บอกให้รู้โดยไม่ปิดบังเลยว่า ท่านคือ พระเจ้า พระเจ้าก็คือพระพุทธเจ้า

2. อัลลอฮ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 อัลลอฮฺ ,อัลลอหฺ, อัลเลาะห์ ตรงกับภาษาอังกฤษ "GOD"


อิสลามเชื่อว่า อัลลอหฺ คือ พระนามของพระผู้เป็นเจ้า 1.ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล 2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ 3.พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด 4.พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ตามความเชื่อของอิสลาม อัลลอฮ์ ทรงมีความสามารถในการบันดาลทุกสรรพสิ่ง  5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น

คุณป้าลองเทียบดูนะครับ

1.  ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล = พระธรรม หรือพระพุทธเจ้าเป็นผู้นิรมิตขึ้น(ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร) ใช่หรือไม่?

....ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"

2.พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดร์โดยไม่มีจุดจบ = อมตภาพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของพระอรหันต์ทั้งหลายในพพาน  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่มีจุดกำเนิด ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง นั้น มีอยู่"

พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง).-


"จุดที่ไม่ตาย ก็มีจุดเดียว คือ...พระนิพพาน...."


3. พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด

สิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา  แต่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นอรหันต์ไม่ถูกสร้างจากกิเลสอวิชชา และในพระนิพพานก็ไม่จำเป็นต้องบริโภคสิ่งที่เเป็นบุญแต่อย่างใด


4. พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

ก็ชัดอยู่แล้วว่า

- อัลเลาะห์ ก็คือ เง็กเซียน
- อัลเลาะห์ ก็คือ ตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์)
- อัลเลาะห์ ก็คือ ยะโฮวา
- อัลเลาะห์ ก็คือ เต๋า
- อัลเลาะห์ ก็คือ ซูส(zeus)
- อัลเลาะห์ ก็คือ พ่อเกิดแม่เกิด อนุตตรธรรมมารดา
- อัลเลาะห์ ก็คือ พระพุทธเจ้า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิด  แต่คนที่ทำลายรูปปั้นของพระพุทธเจ้าในอัฟกานิสถาน เขาหลอกตัวเองว่า เป็นผู้รักและนับถือพระเจ้า  แต่เขาหารู้ไม่...อัลเลาะห์หรือพระเจ้าของเขา เป็นจิตบริสุทธิ์ที่สุด เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์"

เขาทำลายรูปปั้นย่อมไม่บาป แต่เขาเยียบย่ำจิตบริสุทธิ์ที่สุด ที่เรียกว่า "นิพพาน" อิสลามเรียกว่า "มหาบริสุทธิ์" และพระพุทธเจ้าคือตัวแทนของสิ่งนั้นที่เป็นมนุษย์  บาปกรรมอันนั้นถึงทำให้ตาลีบันโดนลบอกจากแผนที่โลก

5.ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น = สัพพัญญู ซึ่งมีอยู่แต่ในพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงปฏิเสทไม่ได้เลยว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่อัลเลาะห์


Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 12:30:41 pm »

ผู้เขียนlove@mind เว็บhttp://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1704.new#new

อิอิ

ปฎิเสธไม่ได้เลย ว่า

แรกเริ่มเดิมที  ก็มาหลง กินง้วนดิน

คุณกำลังพูดถึงสุตตันต ทีฆนิกาย ปาฏิกสูตร 10/33 และอัคคัญญสูตร 16 หรือเปล่าครับ?

โปรดระลึกว่า ยุคนั้นเป็นยุคเริ่มต้นหลังจากโลกและจักรวาลพังฉิบหายหมด และเหล่าสัตว์เกิดไปเป็นพรหมชั้นอาภัสสรพหรมหรือสูงกว่าขึ้นไป ต่อมาจึงเกิดมาเป็นมนุษย์  นั่นยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นจริงๆนะครับ  มันมีก่อนหน้านั้นอีก  ต้องไปดูในคัมภีร์อิสลาม และคัมภีร์อุปนิษัทครับ  แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีเวลาค้น  ค้นไปเอามาลง ตามเว็บต่างๆที่มีจิตใจคับแคบก็เซ็นเซ่อร์กระทู้ และหาเหตุผลไล่ผมออกจากเว็บอีก

จุดเริ่มต้นจริงๆในทางพุทธเริ่มที่ จิตประภัสสร(จิตหลุดพ้น-นิพพาน) ยอมให้ตนเองหลงกิเลสอวิชชาได้  ทำให้พวกเราเหล่าอณูของพระ(พุทธ)เจ้าเสียตัว เสียความบริสุทธิ์ให้กับพระยามาร ปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มทำงาน

เราจึงค่อยๆตกภูมิจากนิพพานลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องเกิดเป็นมนุษย์


Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2010, 01:34:23 pm »

คุณเมตตาครับ


ผมยินดีและเต็มใจให้พวกเขาเบียดเบียนครับ  อ่านข้อความทั้งหมด แต่เมื่อจิตไม่คิดปรุงแต่ง ผมจึงไม่เดือดร้อน ขอต่อเลยนะครับ


คำถามจากคุณลามะ เว็บyantip.com
พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเกิดมาตั้งหลายชาติกว่าท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วองค์อัลเลาะห์ อวตาลลงมาตอนไหนเหรอครับ


คุณลามะครับ


มีพระพุทธเจ้าผู้เป็นองค์เดิมแท้อยู่องค์เดียว เรียกว่า อาทิพุทธ องค์นี้แหละคือพระปฐมพุทธเจ้าที่ไม่ใช่มนุษย์ พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ล้วนเป็นอวตารจาก อาทิพุทธ  อาทิพุทธ นี้ก็คือ พระพุทธรังสีพระบรมบิดา ชาวโลกเรียกว่า GOD

องค์พระผู้เป็นเจ้าที่อวตารลงมาเป็นมนุษย์ในแต่ละยุคมีได้แค่องค์เดียว  ต้องรอให้พระพุทธเจ้านาม โคตมะพุทธเจ้า จบยุคไปก่อนในปีพศ.5000  หลังจากนั้นจึงจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้  พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ศาสนาพุทธเรียก พระศรีอริยะเมตตรัย คริสต์เรียก เมสไซอาร์ อิสลามเรียก มะดีย์

แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน ๒ องค์โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์ จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกัน ๒ องค์ไม่ได้ โยมสงสัย ?”

พระนาคเสนตอบว่า

“ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งได้คนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่ ?”

“ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป”


“ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก คือถ้ามีพระสัมมาสัทพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทชองพุทธบริษัทก็จักมีขึ้น คือ ต่างฝ่ายก็ยกย่องพระพุทธเจ้าของตนเปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น

ด้วยเหตุนี้  เราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เป็นผู้เห็นความจริงในเรื่องนี้  เราจึงกล้าบอกเธอว่า  อัลเลาะห์คือพระพุทธเจ้า อัลเลาะห์คือ เซ็กเซียน อัลเลาะห์คือ ซูส  อัลเลาะห์คือ ตรีมูรติ อัลเลาะห์คือ เต๋า ฯลฯ แต่อัลเลาห์ที่เกิดมาในร่างมนุษย์คือ "โคตมะพุทธเจ้า"


ลามะ เขียน:

คุณหมายความว่า พระอัลเลาะห์คือแกนหลักที่อวตานกระจายลงมาเป็นผู้นำของศาสนาอื่นๆ หรือเปล่าครับ ??
ในพุทธประวัติท่านยังกล่าวถึงเทพทางฮินดูบ้าง แต่ทำไมไม่เห็นกล่าวถึงพระอัลเลาะห์เลย
ทำไมท่านถึงไม่บอกให้ชาวพุทธเชื่อในพระอัลเลาะห์ล่ะครับ
หากท่านเป็นอวตาลของพระอัลเลาะห์จริง ??!!

ตอบ

1. คุณจะเรียกจิตบริสุทธิ์ที่มหาบริสุทธิ์นั้นว่าอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อและศรัทธาของคุณ  แต่ที่ผมเรียกว่า อัลเลาะห์ เพราะคุณป้าprachabeodeeแกกวนประสาท หาว่าผม "ทำไมไม่เอาศาสนาอิสลามเข้ามาพูดด้วยน๊ะ ซึ่งมีพระอัลเลอะห์ เป็นพระผู้เป็นเจ้า........สงสัยไม่ได้ศึกษาทางศาสนาอิสลามมา???"

2. รากฐานของศาสนาพุทธมาจากศาสนาพราหมณ์  รากฐานของศาสนาพราหมณ์มาจาก ศาสนาอิสลาม หรือยิวเดิม เช่น ยูดาย เพราะในพระคัมภีร์เก่าของเขามีมาก่อนเพื่อน

แต่รากของศาสนาเหล่านี้ก็มาจากโครงสร้างความเชื่อที่ท่านนบี อิบรอฮีม(อับราฮัม)เมื่อ5,000 ปีที่แล้วเป็นผู้ฟืนฟูนำมาอีกครั้ง คือการมอบความเชื่อความศรัทธาทั้งกายใจการยอมจำนนต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างศิโรราบ

http://www.oknation.net/blog/dragonball/2010/01/17/entry-1


Re: อัลเลาะห์อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อที่ทั่วโลกเรียกคือ พระพุทธเจ้า
phonsak « ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2010, 11:51:07 am »

คุณลามะและคุณOoto ครับ


ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกิด 1000 ปีก่อนพุทธศักราช หรือเมือประมาณ 3500 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ คัมภีร์ของทั้งสามศาสนา(ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิมก่อนพระเยซูและก่อนนบีโมฮัดหมัด เล่าเรื่องที่ค่อนข้างจะตรงกับยุคอารยธรรมที่ปัจจุบันยอมรับ ก็คือศาสนายิว คริสต์ อิสลาม (ของเดิม) เกิดเมื่อราว 5000-7000 ปีก่อน

เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

คัมภีร์ในสาย ศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว (ยิว คริสต์ อิสลาม)ที่เป็นของดั้งเดิม กล่าวถึงชายคนหนึ่งเมื่อห้าพันกว่าปีที่แล้วในอาณาจักรบาบิโลน(อิรัค) ชื่อ ท่านนบีอิบรฮีม(อับราฮัม)ผู้กลับมาฟื้นฟูคำสอนเรื่องพระเจ้าองค์เดียว ที่ได้จางหายไปจากโลกจริงๆในช่วงเวลานั้น และพระเจ้าก็ทรงติดต่อกับท่านอับราฮัมให้ฟื้นฟูขึ้นมา

ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ก็มีเรื่องที่เล่าตรงกับศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม คือ เรื่องน้ำท่วมโลก

ศาสนายิว คริสต์ อิสลาม ที่เป็นของดั้งเดิม - โนอาห์ ได้ต่อเรือพาสรรพสัตว์หนีน้ำท่วมโลก
ศาสนาพราหมณ์ - เล่าไว้ในปางอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ เรียกว่า "มัตสยาวตาร"
พระนารายณ์แปลงเป็นปลาใหญ่ จูงเรือของพระมนู ให้พ้นจากน้ำท่วมโลก

ศาสนาพุทธก็มีการเล่าถึงพระมนู คำว่า มนุษย์ จริงๆ ก็เอามาจากคำว่า "มนู"

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว