KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับห้องนั่งเล่น คุยกันสบายๆตามประสาชาวกรรมฐานคุยกันสบายๆ ตามประสาชาวกรรมฐาน.คอมสมรส แปลว่าอะไร มีความหมายในทางธรรมะ อย่างไร (เชิงที่เกี่ยวกับธรรม)
หน้า: 1 2 [3] 4
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สมรส แปลว่าอะไร มีความหมายในทางธรรมะ อย่างไร (เชิงที่เกี่ยวกับธรรม)  (อ่าน 67621 ครั้ง)
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #30 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 01:15:29 PM »

 

วิธีสร้างบุญบารมี พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก องค์ที่ 19
 
2. วิปัสสนาภาวนา  (การเจริญปัญญา) เมื่อจิตของผู้บำเพ็ญตั้งมั่นในสมาธิ จนมีกำลังดีแล้ว เช่น อยู่ในระดับฌานต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นฌานระดับใดก็ได้ แม้แต่จะอยู่แค่เพียงอุปจารสมาธิ จิตของผู้บำเพ็ญเพียรก็ย่อมมีกำลัง และอยู่ในสภาพที่นิ่มนวลควรแก่การเจริญวิปัสสนาต่อไปได้
อารมณ์ของวิปัสสนานั้น  แตกต่างไปจากอารมณ์ของสมาธิ เพราะสมาธินั้น มุ่งให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์เดียว โดยแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น  ไม่นึกไม่คิดอะไร ๆ   แต่  วิปัสสนา   ไม่ใช่การให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่เป็นจิตที่คิดใคร่ครวญ หาเหตุและผล ในสภาวะธรรมทั้งหลาย และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น มีแต่เพียงอย่างเดียวก็คือ ?ขันธ์5? (ร่างกายเรา) ซึ่งนิยมเรียกวกันว่า  ?รูป-นาม? โดยรูปมี 1 ส่วน นามนั้นมี 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร  และวิญญาณ
ขันธ์5 ดังกล่าว เป็นเพียงอุปทานขันธ์   เพราะแท้จริงแล้วก็เป็นแต่เพียงสังขารธรรม ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง  แต่เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันสภาวธรรม จึงทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ด้วยอำนาจอุปาทานว่า เป็นตัวเป็นตนและของตน การเจริญวิปัสสนา  ก็โดยมีจิตพิจารณา จนรู้เแจ้งเห็นจริงว่า สภาวธรรมทั้งหลาย อันได้แก่ขันธ์5 นั้น  ล้วนมีอาการเป็นพระไตรลักษณ์ คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา  โดย??
1.        อนิจจัง คือ ความไม่เที่ยง คือสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ สมบัติ เพชร หิน ดิน ทราย และรูปกายของเรา ล้วนแต่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่อาจจะให้ตั้งมั่นทรงอยู่ในสภาพเดิมได้ เช่น คน สัตว์ เมื่อมีอาการเกิดขึ้นแล้ว ก็มีการเจริญเติบโตเป็นหนุ่มสาว และเฒ่าแก่ จนตายไปในที่สุด ไม่มีเว้นไปได้ทุกผู้คน แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย พรหม และเทวดาฯลฯ
สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ที่เรียกว่า อุปทานขันธ์ 5 เช่น รูปกาย ล้วนแต่เป็นแร่ธาตุต่างๆ มาประชุมรวมกัน เป็นหน่วยเล็กๆของชีวิตขึ้นก่อน ซึ่งเล็กจนตาเปล่ามองไม่เห็น เรียกกันว่า เซลล์ แล้วบรรดาเซลลืเหล่านั้น ก็มาประชุมรวมกัน เป็นรูปร่างของคนและสัตว์ขึ้น ซึ่งหน่วยชีวิตเล็กๆเหล่านั้นก็มีการเจริญเติบโต และแตกสลายไป แล้วเกิดของใหม่ขึ้นแทนที่อยู่ตลอดเวลา ล้วนแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน
2.        ทุกขัง ได้แก่ ?สภาพที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  ทุกขัง ในที่นี้มิได้หมายความแต่เพียงว่า เป็นความทุกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น แต่การทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เป็นลักษณะส่วนหนึ่งของ ทุกขัง  ในที่นี้ สรรพสิ่งทั้งหลายอันเป็นสังขารธรรม เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจที่จะทรงตัวตั้งมั่นทนทานอยู่ในสภาพนั้น ๆ   ได้ตลอดไป แต่จะต้องเปลี่ยนแปลงไป เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นเด็ก จะให้ทรงสภาพเป็นเด็ก ๆ เช่นนั้นตลอดไปหาได้ไม่  จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นหนุ่มและสาว  แล้วก็เฒ่าแก่จนในที่สุดก็ต้องตายไป  แม้แต่ขันธ์ที่เป็นนามธรรม อันได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็ไม่มีสภาพทรงตัว เช่น ขันธ์ที่เรียกว่า เวทนา อันได้แก่ความสุขกาย สุขใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และไม่สุขไม่ทุกข์ ซึ่งเมื่อมีอารมณ์อย่างใดดังกล่าวเกิดขึ้น แล้วจะให้ทรงอารมณ์เช่นนั้นตลอดไป ย่อมเป็นไปไม่ได้ นานไป  อารมณ์เช่นนั้น หรือเวทนาเช่นนั้น ก็ค่อย ๆ จางไป แล้วเกิดอารมณ์ใหม่ชนิดอื่นขึ้นมาแทน
3.        อนัตตา  ได้แก่ ?ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน?   ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งของ?     โดยสรรพสิ่งทั้งหลาย อันเนื่องมาจากการปรุงแต่งไม่ว่าจะเป็น  ?รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ? ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย  เช่น  รูปขันธ์ ย่อมประกอบขึ้นด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ มาประชุมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน  เป็นหน่วยชีวิตเล็ก  ๆ ขึ้นก่อน  เรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า ?เซลล์? แล้วเซลล์เหล่านั้นก็ประชุมรวมกันเป็นรูปใหม่ขึ้นจนเป็นรูปกายของคนและสัตว์ทั้งหลาย  ซึ่งพระท่านรวมเรียกหยาบ ๆ ว่าเป็นธาตุ 4 มาประชุมรวมกัน โดยส่วนที่เป็นของแข็ง มีความหนักแน่น เช่น เนื้อ กระดูกฯลฯ เรียกว่า ธาตุดิน   ส่วนที่เป็นของเหลว เช่น น้ำเลือด น้ำเหลือ น้ำลาย น้ำดี น้ำปัสสาวะ น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำลาย ฯลฯ รวมเรียกว่า  ธาตุน้ำ ส่วนสิ่งที่ให้พลังงาน และอุณหภูมืในร่างกาย เช่น ความร้อน ความเย็น  เรียกว่า  ธาตุไฟ
ส่วนธรรมชาติที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว  ความตั้งมั่น ความเคร่ง ความตึง และบรรดาสิ่งเคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย เรียกว่า ธาตุลม  (โดยธาตุ4 ดังกล่าวนี้ มิได้มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า  ?ธาตุ? อันหมายถึงแร่ธาตุในทางวิทยาศาสตร์)   ธาตุ4 หยาบ ๆ เหล่านี้ ได้มาประชุมรวมกันขึ้น  เป็นรูปกายของคน สัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลายเพียงชั่วคราวเท่านั้น  เมื่อนานไปก็ย่อมเปลี่ยนแปลง แล้วแตกสลาย กลับคืนไปสู่สภาพเดิม โดยส่วนที่เป็นดิน ก็กลับไปสู่ดิน ส่วนที่เป็นน้ำ ก็กลับไปสู่น้ำ  ส่วนที่เป็นไฟ ก็กลับไปสู่ไฟ ส่วนที่เป็นลม  ก็กลับไปสู่ความเป็นลม  ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของคนและสัตว์ที่ไหนแต่อย่างใด  จึงไม่อาจจะยึดมั่น ถือมั่นในรูปกายนี้ว่า เป็นตัวเราของเรา ให้เป็นที่พึ่งอันถาวรได้

สมาธิ ย่อมมีกรรมฐาน 40 เป็นอารมณ์ ซึ่งผู้บำเพ็ญอาจจะใช้กรรมฐานบทใดบทหนึ่ง ตามแต่ที่ถูกแก่จริตนิสัยของตน ก็ย่อมได้         ส่วน   วิปัสสนานั้น   มีแต่เพียงอย่างเดียว คือมีขันธ์ 5 เป็นอารมณ์ เรียกสั้น ๆ ว่า มีแต่รูปกับนามเท่านั้น  ขันธ์5 นั้นไก้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ   ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสภาวธรรม หรือสังขารธรรม อันเกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นไม่ได้  และไม่ใช่ตัวตนแต่อย่างใด อารมณ์ของวิปัสสนานั้น  เป็นอารมณ์จิตที่ใคร่ครวญหาเหตุและผล ในสังขารธรรมทั้งหลาย  จนรู้แจ้ง เป็นจริงว่า เป็นพระไตรลักษณ์  คือเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา  และเมื่อใดที่จิตยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า  เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา  เรียกว่าจิตเข้าสู่กระแสธรรม  ตัดกิเลสได้

ปัญญาที่จะเป็นสภาพความเป็นจริงดังกล่าว  ไม่ใช่แต่เพียงปัญญาที่นึกคิดและคาดหมายเอาเท่านั้น  แต่ย่อมมีตาวิเศษ  หรือตาใน  อย่างที่พระท่านเรียกว่า  ?ณาณทัสสนะ?  เห็นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ      ซึ่งจิตที่ได้ผ่านการ อบรมสมาธิมา  จนมีกำลังดีแล้ว  ย่อมมีพลังให้เกิดญาณทัสสนะ หรือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงดังกล่าวได้ เรียกกันว่า ?สมาธิอบรมปัญญา?    คือสมาธิ ทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น  และเมื่อ วิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้นแล้ว  ย่อมถ่ายถอนกิเลสให้เบาบางลง  จิตย่อมจะเบาและใสสะอาด บางจากกิเลสทั้งหลายไปตามลำดับ สมาธิจิตก็จะยิ่งก้าวหน้า และตั้งมั่นมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก  เรียกว่าเป็น  ?ปัญญาอบรมสมาธิ?   ฉะนั้น  ทั้ง สมาธิและวิปัสสนา  จึงเป็นทั้งเหตุและผลของกันและกันและอุปการะซึ่งกันและกัน    จะมีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้น โดยขาดกำลังสมาธิสนับสนุนมิได้เลย  อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องใช้กำลังของขณิกสมาธิเป็นบาทฐานในระยะแรกเริ่ม   สมาธิจึงเปรียบเหมือนกับหินลับมีด       ส่วน วิปัสสนานั้น เหมือนกับมีดที่ได้ลับกับหินคมดีแล้ว  ย่อมมีอำนาจ ถากถางตัดฟัน  บรรดากิเลสทั้งหลาย  ให้ขาดและพังลงได้

อันสังขารธรรมทั้งหลายนั้น  ล้วนแต่เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  และอนัตตา  ไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่คน สัตว์ ไม่ใช่ตัวเรา ของเราแต่อย่างใด ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นแค่   ดิน น้ำ ลม และไฟ มาประชุมรวมกันชั่วคราว ตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น ในเมื่อจิตได้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้แล้ว   จิตก็จะคลายจากอุปทาน  คือ ความยึดมั่นถือมั่น   โดยคลายกำหนัดในลาภ ยศ สรรเสริญ  สุขทั้งหลาย    ความโลภ  ความโกรธ  และความหลง  ก็จะเบาบางลงไปตามลำดับปัญญาญาณ     จนหมดสิ้นจากกิเลสทั้งมวล บรรลุซึ่งพระอรหัตผล
ฉะนั้น การที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาได้  จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายามทำสมาธิให้ได้เสียก่อน  หากทำสมาธิยังไม่ได้  (อย่างน้อยที่สุดจะต้องได้ขณิกสมาธิ)   ก็ไม่มีทางที่จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น สมาธิจึงเป็นเพียงบันไดขั้นต้น  ที่จะก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนาปัญญา เท่านั้น ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า

?ผู้ใดแม้จะทำสมาธิ  จนจิตเป็นฌานได้นานถึง 100 ปี และไม่เสื่อม  ก็ยังได้บุญน้อยกว่า  ผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงที่ว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่ เป็นอนิจจัง ทุกขัง  อนัตตา  แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม?

 ดังนี้จะเห็นได้ว่า  วิปัสสนาภาวนา  นั้นเป็น     สุดยอด  ของการสร้างบุญบารมีโดยแท้จริง   และการกระทำก็ไม่ได้เหนื่อยยากลำบาก  ไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องลงทุนหรือเสียทรัพย์แต่อย่างใด  แต่ก็ได้กำไรมากที่สุด เมื่อเปรียบการให้ทาน เช่น กับกรวดและทราย  ก็เปรียบวิปัสสนาได้กับเพชรน้ำเอก  ซึ่งทาน ย่อมไม่มีทางที่จะเทียบกับศีล   ศีลก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับสมาธิ  และสมาธิ  ก็ไม่มีทางที่จะเทียบกับ ?วิปัสสนา?

แต่ตราบใดที่เราท่านทั้งหลาย  ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุก ๆ ทาง เพื่อความไม่ประมาท   โดยทำทั้งทาน ศีล และภาวนา  สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้  จะถือว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้นลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้กำไรมากที่สุด  ก็เลยทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว   โดยไม่ยอมลงทุนทำบุญให้ทานใด ๆ ไว้เลย เมื่อเกิดชาติหน้า เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียว  ไม่มีจะกินจะใช้  ก็เห็นจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งพระนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน

อนึ่ง  พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า  ?ผู้ใดมีปัญญา  พิจารณาจนจิตเห็นความจริงว่า ร่างกายนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คน สัตว์  แม้จะนานเพียงชั่วช้างยกหูขึ้นกระดิก  ก็ยังดีกว่า ผู้ที่มีอายุยืนยาวถึง 100 ปี แต่ไม่มีปัญญาเห็นความเป็นจริงดังกล่าว?  กล่าวคือ แม้ว่าอายุของผู้นั้นจะยืนยาวมานานเพียงใด  ก็ย่อมโมฆะเสียเปล่าไปอีกชาติหนึ่ง  จัดว่าเป็น  ?โมฆบุรุษ?  คือบุรุษผู้สูญเปล่า



พอก่อนดีกว่ารู้สึกมันไม่ค่อยจะเกี่ยวกับหัวข้อกระทู้เลยครับ...แต่อยากให้อ่านครับ  ยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2010, 01:21:06 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #31 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 12:57:14 AM »

ความรู้ มันอัดแน่น


การแสดงธรรม เพราะความอยาก จึงไม่นุ่มนวล


และที่ท่านเขียนมา แจ๋ว ดี


**คน มันก็เป็นอย่างนี้แหละท่าน

ทำไมมองเห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาไม่ออก

ก็เพราะถูกปิดบังไว้ ด้วย อะไรบางอย่าง 


เอาเรื่องว่า  ร่างกายนี้เป็นของกู ก็ไม่ใช่แล้ว แค่ธาตุทั้ง 4 ขาดความสมดุลย์ก็เรียบร้อย

เมื่อตาย คือ ลมหาย(สิ้นลม)

ไฟก็ดับ(ตัวเย็นเจี๊ยบเพราะไมโตคอนเดรีย ในเซลล์ไมหยุดสร้างพลังงาน ความร้อน)

ไล่ไปอีก น้ำเหลื่องในตัว โป่งพองเยิ้ม ออกมาเพราะกิจกรรมของจุลินทรีย์

และเมื่อพองจนฟุบ ธาตุดิน ก็ย่อยสลาย กระจัดกระจายไปตามดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วเต่ว่า ร่างนั้นตกไปอยู่ที่ไหน



**แล้ว  ก็ มา บอก มายึดว่านี่   ตัวของกู๊... ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #32 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 03:14:19 AM »

ไม่ใช่ธรรมของผมหรอกครับ ผมลอกมา...


**คน มันก็เป็นอย่างนี้แหละท่าน

ทำไมมองเห็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตาไม่ออก

ก็เพราะถูกปิดบังไว้ ด้วย อะไรบางอย่าง  


ก็อะไรล่ะครับบอกให้พวกๆรู้กันบ้างซิครับ...อุ...อิ
 ยิ้มเท่ห์  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 07, 2010, 02:18:56 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 04:31:29 PM »

รู้มาตั้งนานแล้ว ว่าเหล่า สาวกภูมิ ก็ต้องลอกมาแหงๆ

และถ้าต้องการรู้ว่าอะไรปิดบัง เจ้า ทกขัง อนิจจัง แลอนัตตา ไว้เรียนเชิญที่นี่

*ใครทุกข์ที่สุดอย่างไร จึงต้องการพ้นทุกข์ * ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #34 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 11:06:37 PM »

ครับๆลองตามไปดู    ยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #35 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 09:15:35 PM »

วันนี้ เวลานี้ หายไปไหนกันหมด

 ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #36 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 04:33:45 PM »

วันนี้ เวลานี้ หายไปไหนกันหมด

 ยิงฟันยิ้ม



แป๊บๆ จะออกพรรษาแล้ววว ได้อะไรกันบ้าง ฆราวาส อย่างเราๆ อิอิ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #37 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 05:52:41 PM »

วันนี้ไปดู นศ.มน ป.ธรรมโดยกลุ่มภิกษุณีจากนิโรธาราม จ.เชียงใหม่

มาสอน แบบเด็ก  ๆ แต่ก็ดี เหมือนกัน

คือท่านเอาพัดที่มี ด้านหนึ่งมีปลา อีกด้านไม่มี มาหมุนให้ดู เร็ว ๆ แสดงการเกิดดับของจิต

จุดไม้ขีดไฟ ดูการเกิดและดับไปของจิตเช่นเดียวกัน..

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #38 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2010, 10:48:41 PM »



มีภิกษุณีมาสอนนักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวรด้วยหรือครับ...เดี๋ยวนี้ไม่มีภิกษุณีที่ได้รับรองจากคณะสงฆ์ในประเทศไทย(ฝ่ายหินยาน เถรวาท)แล้วนี่ครับ...

ลองตามไปอ่านเอารายละเอียดที่นี่ครับ

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1017


ส่วนตัวผมก็ว่าจิตมันเกิดดับอย่างรวดเร็วครับ...อาจจะเร็วกว่าความเร็วแสงอีก ว่างๆจะลองคำนวณดู เท่าที่พอจะเป็นไปได้... ยิ้ม
บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #39 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 12:44:11 PM »

เช้านี้ ไปร่วมป.ธรรม อีก

ก่อนเดินจงกรม

 มีการบริกรรม ให้ดูว่า กายนี้เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม

กายนี้เป็นถุงขี้ซึม

กายนี้เป็นกองของทุกข์

ต้องคอยแก้ทุกข์... ยิงฟันยิ้ม

ทราบมาว่า  ภิกษุณีกลุ่มนี้ ผ่านการบวชมาจากศรีลังกา
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #40 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 12:33:02 AM »

ภิกษุณีกลุ่มนี้ ผ่านการบวชมาจากศรีลังกา....ทำไมบวชที่เมืองไทยไม่ได้...ผมว่าไม่เปิดประเด็นดีกว่าเดี๋ยวจะยาว....

ในความเห็นและรู้สึกส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ...ที่พระอานนท์ทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ผู้หญิงบวชได้ แต่พระพุทธเจ้าในตอนแรก ก็ไม่อนุญาต

ต่อมาภายหลังจึงค่อยให้ โดยกำหนดเงื่อนไขเอาไว้มากมายกว่าผู้ชายมาก แต่ด้วยหลายปัจจัยล่ะน่ะครับ

และอีกอย่างพระพุทธเจ้าท่านเล็งเห็นแล้วว่าถ้าให้สตรีบวชได้ในพุทธศาสนา อายุศาสนาพุทธในยุคของพระองค์จะลดลงกึ่งหนึ่ง...จาก ๑๐,๐๐๐ ปี เหลือ ๕,๐๐๐ ปี

สุดยอดของพระมหากรุณาธิคุณ....

หญิงหรือชาย บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้เหมือนกัน...และไม่จำกัดว่าเป็นพระหรือฆราวาส

แต่สังเกตุว่าฆราวาสถ้าได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วคือได้อรหันต์ จะใช้ชีวิตอยู่กับทางโลกลำบาก บางตัวอย่างในพระไตรปิฏก จะตายภายใน ๗วัน ถ้าไม่ได้บวช(ถ้าจำไม่ผิด พาหิยทารุจิริยา...ท่านโดนวัวขวิดตายระหว่างไปหาผ้าจีวรและบาตรมาบวช,พระเจ้าสุทโธทนะ,พระนางเขมาได้อรหันต์ แล้วบวชเป็น ภิกษุณี)

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีตัวอย่างในพระไตรปิฏกบ้างหรือไม่ว่า ฆราวาสถ้าได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้วคือได้อรหันต์ มีชีวิตอยู่ได้เกิน ๗ วัน โดยที่ไม่ต้องบวช

 

วานผู้รู้มาบอกหน่อยก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2010, 12:37:45 AM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 08:59:46 AM »

ก็รีบ ป.ธรรม ให้ถึงพระอรหันต์ ก่อน  ภายในสภาวะฆราวาสซี

แล้วมาบอกกันบ้างว่าเป็น จังได๋

เป็นแล้ว ตาย ก็ ยังดีกว่า ไม่เป็นแล้วมีชีวิตอยู่ใข่ไหมง่ะ..อิ อิ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 06:27:26 PM »

ให้เป็นหนูทดลองยาก่อนหรือครับ...มันจะดีหรือครับ ได้เป็นพระอรหันต์ถ้ายังธาตุขันธ์ไม่ดับก็ยังได้รับวิบากกรรมทุกองค์อยู่นะครับ ยิ้ม

หาเอาจากพระไตรปิฎกหรือในประวัติศาสตร์หรือถามผู้รู้ดีกว่ามั้งครับ...ดูจะเนียนที่สุด

ผมเพิ่งเริ่มต้นอยู่คงยาก แล้วถ้าได้จริงพระศาสดาเข้าปรินิพพานแล้วก็ไม่ได้รับรอง และอีกอย่างถึงจังหวะนั้นแล้วเกรงว่าจะมาบอกใครไม่ทันนะซิครับ  ยิ้ม

(คำถามต่อมาก็คือ...รู้แล้วจะมีหรือได้ประโยชน์อะไรบ้างหนอ...ให้ท่านอื่นๆเข้าใกล้..ได้ไหม?)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2010, 06:44:24 PM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:12:39 AM »

พ้ม  ....ต้องการบรรลุธรรม

พ้ม ..... ไม่กลัว แต่ยังไม่อยากละสังขาร  ซีเนาะ ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
AVATAR
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 29
กระทู้: 966


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:47:17 AM »


นี่ถ้าท่าน Phonsak รู้ใจได้บ้างแบบท่านนี้...ในกระทู้ "วิถีแห่งท่าน Phonsak" ผมคงงานเข้าไปแล้ว....แต่ผมรู้อยู่แล้ว...อุ...อิ... ยิ้มเท่ห์



 ยิ้ม  ยิ้มกว้างๆ  ยิงฟันยิ้ม  ยิ้มกว้างๆ  ยิ้ม  ยิ้มเท่ห์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2010, 12:56:44 AM โดย AVATAR » บันทึกการเข้า

เกิดปัญญารู้แจ้ง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพื่อพากันหลุดพ้นออกจากวัฏฏสงสารนี้
หน้า: 1 2 [3] 4
พิมพ์
กระโดดไป: