KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4อย่าเป็นรถบรรทุกทุกข์
หน้า: [1]
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อย่าเป็นรถบรรทุกทุกข์  (อ่าน 12353 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:29:42 PM »

โดยคุณ putuchon วัน จันทร์ ที่ 24 มกราคม 2543 13:36:23

ค้วยความที่เป็นคนชอบบรรทุกทุกข์ อยู่เสมอๆ จนเป็นความเคยชินเป็นนิสัย เลยอยากจะคุยเล่าประสบการณ์แก่เพื่อนที่อาจมีนิสัยชอบบรรทุกทุกข์เหมือนกัน

โดย เนื้อแท้นิสัยจริงๆแล้วเป็นคนขี้กังวล ขี้โลภ ขี้โกรธ ทุกข์ก็มาก เดินไปใหนไปที่ใหนมันไม่พอใจไปเสียหมด  เหมือนคนที่อยู่ในห้องขังตลอดเวลา ทั้งๆที่แสนจะมีอิสรภาพ แต่ก็มีความโกรธความไม่พอใจเป็นเครื่องกักขังตัวเอง

พอ มาเริ่มปฏิบัติธรรม ก็กังวล เอาจริงเอาจัง จนก็เป็นทุกข์  ถึงภายนอกดูสงบ แต่ในใจนี่มันเป็นไฟเผาให้เดือดร้อนตลอด  ห่วงกรรมเก่าบ้าง ห่วงและเกลียดอกุศลจิตบ้าง มากมาย ก่อเกิดทุกข์ในอีกรูปแบบหนึ่ง

พอมาเจริญสติ ก็มาห่วงต่อว่า จะเผลอ จะไม่ทันชาตินี้นะ จะไม่ก้าวหน้า ฯลฯ  รวมแล้วก็แบกทุกข์หนักขึ้นไปอีก 

ทาง โลกก็ทิ้งไม่ได้ งานก็หนัก เงินทองต้องหาใช้ ต้องยังความสุขให้คนรอบข้าง อยากให้ผู้คนรอบตัวรักนิยมตนเอง  อีกทางก็ห่วงทางธรรมก็ไม่ไปใหน   เหมือนเป็นคนติดกรงไปทางใหนก็ไม่ได้ทั้งนั้น ธรรมที่เคยเห็น ก็ค่อยเสื่อมสลาย เหมือนจมปลักลงในกองไฟอีก

จึงมาเห็นตัวเองว่า โอ้ เรานี้หนอ มันเป็นรถบรรทุกทุกข์จริงๆ

จน มาวันก่อนได้คุยกับหมู่เพื่อน คุยกับโจโจ้ ก็บอกว่าให้ดูตัวอารมณ์กังวล  มันก็พาลกังวลไปกับการไปดูอารมณ์กังวลอีก    ยังไงยังไงมันก็ไม่จบไม่สิ้น 

จนเมื่อเช้าก็ได้คุยกับพี่ดังตฤณ จึงมามองย้อนกลับไปว่า เรานี่มันหลงแบกหนักขึ้นทุกที ไม่ได้เกิดประโยชน์ทั้งทางโลก และก็ไม่ได้ใกล้มรรคผลนิพพานไปที่ตรงใหน  เลยกลับมาทำใจใหม่ว่า  เอ หากเราวางเราทิ้งไปบ้าง อะไรก็ตามในชีวิต ให้มันเห็นว่า โลกมันก็เป็นเท่านั้น   แม้ตัวเราเองมันก็เป็นเท่านั้น ไม่ต้องไปแบกไปกังวลมาก  เออ ปรากฏว่า มันเบา มันกลับมาเบาขึ้นให้เห็นชัดๆ

เลยอยาก จะ บอกเพื่อนคนใหนที่เป็นรถบรรทุกทุกข์ เหมือนผมเอง (ซึ่งคาดว่าคงจะมีน้อยในกลุ่มชาวลานธรรมนี้ ที่ส่วนใหญ่มีความเบิกบานเป็นปกติ)  ว่า  บรรทุกทุกข์มากๆ  ก็ต้องวางมันเสีย  กังวลมากมันก็ต้องเลิกกังวล  มันก็ง่ายๆอย่างนั้น   ใครๆก็บอกเรา แต่ทำไมเรายังแบกมันอยู่ได้

เพื่อนๆก็เอาใจช่วยหน่อยนะครับ  จะทิ้งขยะที่แบกไว้ เท่าที่จะทำได้ เสียที

โดยคุณ putuchon วัน จันทร์ ที่ 24 มกราคม 2543 13:36:23
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:30:13 PM »

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ โจ้ วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 08:52:50

เท่าที่ผ่านมา ก็พบกัเจ้าความทุกข์มาอยู่เรื่อย ๆ
หน้าตาก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมา
เดิมก็พยายามรู้ทันความอยาก
แต่เมื่อไม่กี่วัน ก็รู้สึกวุ่นวายใจกับความอยากที่เกิด
ขึ้นมา รู้สึกว่า มันเกิดแล้ว เกิดเล่า ไม่หายไปสักที
อุตส่าห์พยายามรู้แล้วเชียว

เจ้าความทุกข์ก็มาอีกแล้ว...มาในแบบความไม่อยาก
ที่จะให้เกิดความอยาก

...ก็ไม่ทำอย่างที่ครูบาอาจารย์สอนนี่นา
ท่านให้แค่รู้ทัน อยู่กับปัจจุบัน เกิดอะไรก็อย่างนั้น
เพราะมีเหตุปัจจัยต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นถึงได้เกิดขึ้น
แต่เราก็ไปพยายามจะปั้นให้อะไรต่ออะไร
เป็นอย่างที่ต้องการ...ก็ทุกข์เท่านั้นเอง
...เอาอีกแล้วเรา  :-P
โดยคุณ โจ้ วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 08:52:50
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:30:50 PM »

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 10:19:21


ผมเองโดยจริตนิสัยเดิมก็เป็นพวกโทสจริตเหมือนคุณปุถุชน
ไปไหนก็แบกความร้อนและความทุกข์ไปด้วย
แล้วนิสัยกังวลก็มีมากเหมือนกัน
จึงเข้าใจสภาวะของคุณปุถุชนได้เป็นอย่างดี
จุดที่ต่างกันมีเรื่องเดียวคือ
ตอนที่ลงมือปฏิบัติธรรมนั้น ผมทำโดยไม่กังวล ไม่หวังผล
แต่ทำไปด้วยเห็นว่าน่าสนใจ มีสิ่งแปลกใหม่ให้เรียนรู้อยู่เสมอ
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องสนุก น่าสนใจ น่าติดตาม
มากกว่าจะเป็นภาระทางใจเหมือนเรื่องอื่นๆ

สิ่งที่เราแบกอยู่ แม้ว่าจะมีมากมาย
แต่รวมแล้วก็คือแบก "ตัวเรา" กับ "ของเรา" เท่านั้นเอง
และ "ของเรา" จะมีความหมายหรือถูกแบกไว้ ก็เพราะมี "ตัวเรา" เป็นแกนกลาง
ดังนั้น ผู้คนส่วนมากจึงพร้อมจะสละ "ของเรา" เพื่อรักษา "ตัวเรา"
เนื่องจาก "ตัวเรา" เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก
เช่นคนที่งกสุดๆ พอจะตายก็ยอมควักกระเป๋าเป็นค่ารักษาพยาบาล
หรืออย่างไฟไหม้บ้าน ยังไงก็ต้องทิ้งบ้านวิ่งหนีเอาตัวรอด
คงไม่มีใครห่วงบ้าน แล้วยอมตายอยู่กับบ้าน
(แต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้นบ้าง เพราะสิ่งทั้งหลายมัน "ไม่แน่")

"ของเรา" อาจจะเป็นครอบครัว ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ
ส่วน "ตัวเรา" ก็หนีไม่พ้นขันธ์ 5 นั่นเอง
และเมื่อพิจารณาละเอียดเข้าไปอีก
ขันธ์ 5 เว้นแต่จิตเสียแล้ว ก็ยังเป็น "ของเรา" อยู่อีก
เช่น กายของเรา ความทุกข์ความสุขของเรา
ความจำได้หมายรู้ของเรา ความคิดของเรา
คนที่เจ็บป่วย ยอมให้หมดตัดส่วนของร่างกายออก เพื่อให้ "เรา" รอดชีวิตอยู่
ดังนั้น เมื่อถึงคราวที่ยึดไม่ได้แล้ว กระท่ังขันธ์ของเราก็พอจะสละได้
ขอให้ "เรา" รอดก็แล้วกัน

"เรา" จริงๆ จึงอยู่ที่จิต นอกจากจิต ก็เป็น "ของเรา" ทั้งนั้น

แต่เมื่อปฏิบัติต่อไปอีก ก็จะพบว่า "จิตที่เป็นเรา" นั้น ยังสามารถจำแนกต่อไปได้อีก
คือ "ธรรมชาติรู้" อันหนึ่ง กับ "ความสำคัญหรือความเห็นว่าเป็นเรา" อีกอันหนึ่ง

ขณะที่เข้าถึง "ธรรมชาติรู้ หรือใจ" นั้น ยังไม่มีรถบรรทุก
แต่เมื่อใด นำ"ความสำคัญและความเห็นว่าเป็นเรา" บรรทุกเข้ามาในใจ
เมื่อนั้นแหละ รถบรรทุกข์ความทุกข์ ได้เกิดขึ้นแล้ว

จิตนี้เอง เป็นรถบรรทุก หรือเป็นภาชนะแบกหามความทุกข์
สิ่งแรกที่ยึดไว้ก็คือ "จิตเรา" ซึ่งก็คือ "ตัวเรา"
ถัดจากนั้นก็ยึด "ขันธ์ของเรา" ว่าเป็น "ตัวเรา" อีกอย่างหนึ่ง
แล้วขยายการยึดออกไปยังสิ่งที่รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ยิ่งแบกมากเท่าไร ทุกข์ก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น

ส่วนการจะปล่อยวางนั้น ไม่มีอะไรเกินกว่า "การเห็นตามความเป็นจริง"
และการที่พวกเราปฏิบัติธรรมกันนั้น ก็คือการฝึกให้เห็นตามความเป็นจริง
เมื่อใดจิตเห็นความจริงแล้ว ถึงจะขอร้องให้แบกภาระไว้
จิตก็ไม่ยอมแบบไว้หรอกครับ
ดังนั้น เราปฏิบัติธรรม ก็ขอให้แค่ "รู้ ตามความเป็นจริง" ก็พอแล้ว
ไม่ต้องไปคิดถึงความปล่อยวาง หรือความหลุดพ้นใดๆ หรอกครับ

ที่คุณปุถุชน เห็นว่า "โลกมันก็เป็นเท่านั้น   แม้ตัวเราเองมันก็เป็นเท่านั้น"
หรือคุณพัลวัน เห็นว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป"
หรือใครจะเห็นอะไรก็ตาม ที่ทำให้จิตปล่อยวางได้
เอาเข้าจริง ก็คือ "การเห็นความจริงของไตรลักษณ์" นั่นเอง
ไม่หนีไปจากเรื่องของไตรลักษณ์หรอกครับ

โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 10:19:21
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:31:21 PM »

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 10:54:44

ปล่อยวางเสียบ้าง, ช่างมันเถอะ, เช่นนั้นเอง, let it be, ... ฯลฯ

จะว่าง่ายมันก็ง่ายสำหรับคนที่คุ้นเคย
จะว่ายากมันก็ยากสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย
การทำทาน จึงเป็นเรื่องแรกใน ทาน ศีล ภาวนา
แท้ที่จริงเราทำทาน ก็เพื่อฝึกใจให้รู้จักละวางนั้นเอง

พูดเรื่องนี้แล้วนึกถึง ที่พระพยอมท่านว่าคนสูบบุหรี่ ท่านบอกว่า
"บุหรี่นะ แค่อ้าปากก็หลุดแล้ว เรายังโง่ไปคาบมันอยู่ได้"

จริงๆ แล้วคนสูบบุหรี่ไม่ได้คาบบุหรี่
แต่คาบกิเลสตัญหาต่างหาก มันเลยยากที่จะปล่อยบุหรี่ออกจากปาก

โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 10:54:44
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:32:02 PM »

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ นิดนึง วัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2543 11:04:16


ความทุกข์ของเราบรรทุกกันมาเต็มอัตรานั้น
เคยลองดูจากตัวเองนะคะ ว่ามันเป็นความคิดของเรา
นั่นเอง ความคิดที่วางไม่ได้ เราคิดว่านี่ยังต้องใช้ นี่ยัง
ต้องทำ อันนี้เป็นหน้าที่ อันนี้เป็นความรับผิดชอบ
แต่ที่แฝงอยู่ในนั้นอีกทีก็คือการวางไม่ได้นั่นเอง
เราทำทุกอย่างในชีวิตด้วยอาการยึดอย่างเดียว ไม่ได้
เป็นสักแต่ว่าจริงๆ จังๆ เพราะเจ้าความคิดที่เคยชิน
ที่สั่งสมมาตั้งแต่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนช่างคิด ช่างรอบคอบ ฯลฯ และก็มีความคิดนำตลอด เราก็เคยชินไป
ด้วยวิถีทางเดิมๆ การจะมาเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ไม่ได้
เปลี่ยนชีวิตประจำวัน (ชีวิตฆราวาส) จึงกลายเป็นของยาก หรือบางทีก็ทำให้เราลืมเลือน หลงออกนอกทางการปฏิบัติไป

แล้วจะแก้ยังไง สำหรับตัวเองก็พยายามอยู่ที่จะทำโดย
ให้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ ทำทุกอย่างเหมือนเคย แต่คอย
มอง ดูการกระทำของเราอีกทีว่า เรายึดในการกระทำนั้นๆ อยู่หรือเปล่า เราทำทุกอย่างแบบสักแต่ว่าได้จริงหรือ ตรวจสอบตัวเองอย่างนี้เสมอๆ ค่ะ ก็พอช่วยได้ในการวางสิ่งต่างๆ หรือแม้แต่ตัวเองลงบ้าง ซึ่งแน่นอนค่ะ
ไม่ง่ายเลย เผลอแป๊บเดียวก็หยิบฉวยมาเป็นเราอีกแล้ว
พอเห็นก็วาง ไปเรื่อยๆ คงต้องทำอย่างนี้ไปจนกว่าจิตจะวางเองจริงๆ ล่ะค่ะ


โดยคุณ นิดนึง วัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2543 11:04:16
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 05:32:56 PM »

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2543 13:40:13

เรื่องการปล่อยวางนั้น เป็นเรื่องปัญญาของจิต
หากจิตเขายังติดข้องแล้ว ไม่มีใครทำให้เขาปล่อยวางได้เลย

เวลาที่ปฏิบัติ หรือเจริญสติสัมปชัญญะอยู่นั้น
อารมณ์ใดผ่านมาให้รู้ จิตผมก็จะสลัดวางอย่างรวดเร็ว
จนถึงอารมณ์ที่ว่างๆ เป็นขันธ์ละเอียด
ถึงตรงนี้จะทราบเลยว่า จิตไม่ยอมปล่อยวางสิ่งละเอียดนั้น
มันยังคลุกเคล้าแนบสนิทปิดบังจิตแท้ธรรมแท้เอาไว้
ผมเห็นชัดเลยว่า ผมไม่สามารถจะ เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง ได้
ได้แต่เห็นสิ่งที่ "สมมุติว่าจิต" หรือจิตที่ติดอารมณ์ละเอียดเท่านั้น
ภาระที่จะอบรมจิตให้เกิดปัญญาปล่อยวางขันธ์ละเอียดภายใน จึงยังมีอยู่

สรุปแล้ว จิตก็ยังเป็นรถบรรทุกความทุกข์อยู่เหมือนๆ กับพวกเราทั้งหลายนั่นเอง
เพียงแต่มันไม่ได้บรรทุกก้อนอิฐก้อนหินอะไร
หากแต่มันบรรทุกความเป็นรถบรรทุกของมันเอง

ตัวรถนั่นแหละ หนักไม่ใช่เล่นทีเดียว
ไม่ใช่หนักเฉพาะสิ่งของที่นำมาใส่รถหรอก
ทุกวันนี้ ผมยังไม่มีปัญญาจะรื้อรถคันนี้ลงได้
มันจึงเที่ยววิ่งไปมา รับส่งสินค้าและขยะเรื่อยๆ ไป เศร้า

โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 28 มกราคม 2543 13:40:13
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1]
พิมพ์
กระโดดไป: