KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ชา สุภัทโธ วัดหนองป่าพง
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 8
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอดโดย หลวงปู่ชา สุภัทโธ วัดหนองป่าพง  (อ่าน 149732 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #30 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2013, 07:49:17 PM »

-อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ -

เคยมีโยมไปถามพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ซึ่งท่านได้ให้คำตอบว่า
“หลวงพ่อมีอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่เป็นจริง
สอนให้เห็นจริง และนำไปปฏิบัติได้ผลสมจริงเป็นอัศจรรย์”

สำหรับหลวงพ่อเอง ท่านไม่ได้ให้ความสำคัญ
กับเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เลยเหมือนไม่สนใจ ท่านไม่กล่าวถึง
แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ถ้ามีคนไปถามเรื่องชนิดนี้ หลวงพ่อก็ตัดบท
หรือพูดชักนำออกไปในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติ
เพื่อการพ้นทุกข์เสีย อย่างเช่นครั้งหนึ่งมีคนไปถามท่านว่า
“เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นจริงเหาะได้หรือเปล่า”
หลวงพ่อตอบว่า
“เรื่องเหาะเรื่องบินนี่ไม่สำคัญหรอก แมงกุดจี่มันก็บินได้”
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อครูคนหนึ่งถามท่านเกี่ยวกับการเหาะเหินเดินอากาศ
ของพระอรหันต์ในครั้งพุทธกาล ซึ่งเคยอ่านพบ ว่าเป็นความจริงหรือไม่
ท่านตอบว่า
“ถามไกลตัวเกินไปแล้วล่ะครู มาพูดถึงตอสั้นๆ ที่จะตำเท้าเรานี่ดีกว่า”
อย่างไรก็ตาม บางเรื่องที่พูดกันก็มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
โดยเฉพาะเรื่องการรู้วาระจิตของคนอื่น ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย เช่น
สมัยหนึ่งมีพระรูปหนึ่งไปบิณฑบาตบ้านผึ้ง เดินไปก็คิดไป
คิดอยู่ในใจว่า วันนี้หิวข้าวมากจะฉันเยอะๆ
จะปั้นเอาข้าวเหนียวก้อนโตๆให้เท่าศีรษะของตัวเองถึงจะอิ่ม
พอกลับจากบิณฑบาต กำลังเดินเข้าประตูวัด หลวงพ่อถามว่า
“มันหิวมากจนคิดจะปั้นเอาข้าวเหนียวก้อนโตๆ
ให้เท่าศีรษะของตัวเองหรือ”
พระที่ถูกท่านทักอย่างนั้นเลยไม่รู้จะพูดอย่างไร เงียบเลย
ทั้งอายด้วยที่หลวงพ่อท่านรู้ใจ
และครั้งหนึ่ง คุณหมออุทัย เจนพาณิชย์ ลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่ง
ที่ได้เจอเรื่องอย่างนี้หลายครั้ง ได้ถามหลวงพ่อด้วยความอัศจรรย์ใจ
ว่าทำได้อย่างไร หลวงพ่อตอบเพียงแต่ว่า
“หมอ นี่เป็นเรื่องของการทำสมาธิ ไม่ลึกซึ้งอะไรหรอก
แต่ไม่น่าเอามาคุยกัน”



พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสืออุปลมณี น.๑๐๓-๑๐๔
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #31 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2013, 08:04:11 PM »



แต่ก่อนผมเคยคิดว่าอลัชชีนี้จะเป็นจำพวกหนึ่งต่างหาก ไม่รู้จักอลัชชีแท้ ๆ
มันจะเป็นยังไง เมื่อดูไปดูมาปฏิบัติในใจของเรา ก็ค่อยๆรู้จักไป
ยิ่งได้รู้รสธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ยิ่งละเอียดสุขุมเข้าไปเรื่อย ๆ

อลัชชีก็พวกเรานี้แหละ อันใดมันทำบาปทำสกปรกลามกมันไม่มีความละอาย
มันก็เป็นอลัชชีนอกศาสนาทั้งนั้น เมื่อคิดสกปรกลามกขึ้นในใจเจ้าของแล้วก็ทำไปอย่างนั้น
มันก็เป็นอลัชชี ทำแล้วก็ไม่คิดแก้ตัวเจ้าของ

ดีใจว่าครูบาอาจารย์หมู่พวกไม่เห็นแล้วไม่เป็นไร ความเป็นจริงความดีความชั่วนั้นเราจะปิดอย่างไรมันก็ไม่มิด
แม้จะทำไปผู้เดียวไม่มีใครเห็นก็ปิดไม่ได้
ธรรมะความเป็นจริงต้องเปิดอยู่ตลอดเวลา มันไม่ได้ทำมันก็จริงด้วยการไม่ได้ทำ
มันได้ทำมันก็จริงด้วยการได้ทำ จะหนีไปทางไหน ? มันไม่พ้นหรอก

พระองค์ใด เณรองค์ใด ถ้าทำอะไรลงไป อยากจะทำผิดนั่นคือความสกปรกลามกเกิดขึ้นในใจของเรา
ถ้าจะไปทำสิ่งนั้นก็รู้อยู่ว่ามันผิด แต่ระวังหมู่จะเห็นกลัวครูบาอาจารย์จะรู้
ถ้าอยู่ในที่ลับไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วยก็เป็นเลย กระทำสิ่งเหล่านั้น นี้คือมันโง่ที่สุด
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น มันหาความบริสุทธิ์ไม่ได้ คิดว่าความปกปิดมันจะมีในโลก

พระพุทธเจ้าและผู้รู้ทั้งหลายท่านบอกว่า มันไม่มีหรอกการปกปิด ทำดีก็ดีอยู่ที่นั้น
ทำชั่วมันก็ชั่วอยู่ที่นั้น ไม่ต้องมองดูผู้ใดผู้หนึ่งเลย ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วฉะนั้นท่านจึงไม่หวั่นไหวในนินทา
สรรเสริญ ลาภ ยศ มันเป็นของโลก ตาคนเห็น หูคนได้ยิน หูคนไม่เหมือนหูพระ ตาคนก็ไม่คือตาพระ
 ตาคนนั้นชอบใจแล้วมันก็ว่าดี ถึงผิดจากความเป็นจริงมันก็ไม่วาง ขอแต่ว่าชอบใจก็ว่าดี
หูได้ยินเสียงมันสนุก ไพเราะ จิตใจมันก็ว่าเสียงนั้นดี แม้มันผิดอยู่ก็ว่าสบายใจดี จำพวกโลกเป็นอย่างนั้น
ความสรรเสริญเยินยอ ความนินทากาเลต่าง ๆ พระพุทธเจ้าท่านฆ่า อันนั้นมันเป็นจิตของคนที่ติดอยู่ในโลก ห่วงอยู่ในโลก

ความยึดมั่นถือมั่น
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #32 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 07:45:42 PM »



เหตุเกิด เพราะ แม่ม่ายสาวสวย
แถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหัน
หลวงพ่อชาทุกวัน ไม่ช้าไม่นาน หลวงพ่อรู้สึกว่า

สีกาม่ายคนนี้ คิดมิดีมิร้าย กับท่านเสียแล้ว
ตัวท่านเอง จิตใจก็ชักหวั่นไหว … มารกับธรรมะ
สู้รบกันอย่างหนักหน่วง ภายในจิต กระทั่ง
ท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย จนรู้สึกว่า
จะไว้ใจตัวเอง ไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจ
เก็บบริขาร รีบจากวัดบ้านต้อง ในกลางดึก!

ไปหา หลวงปู่กินรี จันทิโย ยังวัดป่าเมธาวิเวก
ระยะที่ พักอยู่นั้น ท่านได้ทำความเพียร
ปฏิบัติธรรม อย่างเคร่งครัด แต่ กามราคะ
ก็ได้เข้ามา รุมเร้าหลวงพ่อชา อย่างรุนแรง!

ไม่ว่าจะเดินจรม นั่งสมาธิ หรืออิริยาถใดก็ตาม
ปรากฎว่า มีอวัยวะเพศของผู้หญิง ลอมปรากฎ
เต็มไปหมด เกิดความรู้สึกรุนแรง เดินจงกรมก็ไม่ได้
เพราะ องค์กำเนิด ถูกผ้าเข้า ก็มีอาการไหวตัว

ต้องให้เขา ทำที่จงกรมในป่าทึบ เพื่อเดินเฉพาะ
ในเวลาค่ำมืด และเวลาเดิน ต้องถลกสบงพันเอวไว้
การต่อสู้กับกามราคะ เป็นไปอย่างทรหดอดทน
ขับเคี่ยวกันอยู่นาน ถึง ๑๐ วัน … ความรู้สึก
และ นิมิตเหล่านั้น จึงสงบและหายขาดไป

กามราคะ ก็เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่าๆ
ให้กินทุกวันๆ มันก็อ้วน อย่างหมูเหมือนกัน
การปฏิบัตินั้น ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ
ก็เรื่องผู้หญิง นี่แหละ … ระวังนะ! อย่าให้งูเห่ามันฉก
วันไหน มันแผ่แม่เบี้ยมากๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก!


พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)

แชร์มาจากLotus Postmanค่ะ ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
the suffering
Global Moderator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 9
กระทู้: 859


ดูรายละเอียด
« ตอบ #33 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2013, 11:02:26 PM »

`สาธุ

แล้วกรณี ที่มีการเล่นเสน่ห์เวทมนตร์ คาถา จะแก้อย่างไร
บันทึกการเข้า
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #34 เมื่อ: กันยายน 04, 2013, 10:43:12 PM »



"..เห็นความผิดของคนอื่นให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเองให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม.."

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #35 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2013, 11:18:33 AM »



"..คนที่เรียนปริยัติแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติ ก็เหมือนกับ
ทัพพีตักแกง ที่อยู่ในหม้อ มันตักแกงทุกวัน
แต่ มันไม่รู้รสของแกง ทัพพีไม่รู้รสของแกง

ก็เหมือน คนเรียนปริยัติ ที่ไม่ได้ปฏิบัติ
ถึงแม้จะเรียนอยู่จนหมดอายุ ก็ไม่รู้จักรสของธรรมะ
เหมือนทัพพี ไม่รู้รสของแกง ฉันนั้น.."

โอวาทธรรมโดย
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #36 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 08:20:44 PM »

กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย คือ "นักปฏิบัติ"
กินมาก นอนมาก พูดมาก คือ "คนโง่"

โอวาทธรรม
หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #37 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2013, 07:58:53 PM »

"..บุตรคนใด ชักจูง ปลูกฝัง ประดิษฐาน
ซึ่งมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ไว้ในศรัทธาสัมปทา...
ซึ่งมารดาบิดาผู้ทุศีล ไว้ในศีลสัมปทา...
ซึ่งมารดาบิดาผู้มัจฉริยะ (ตระหนี่)
ไว้ในจาคสัมปทา (ถึงพร้อมด้วยการบริจาค...)
ซึ่งมารดาบิดาผู้ทรามปัญญา ไว้ในปัญญาสัมปทา

ด้วยการกระทำเพียงนี้ จึงชื่อว่า
เป็นอันได้ทำคุณ ได้ตอบแทนแก่มารดาบิดา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #38 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2013, 06:51:29 PM »



หลวงพ่อชา : โยมเคยปวดหัวไหม
โยม : เคยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บฟันไหม
โยม : เคยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา : โยมเคยปวดท้องไหม
โยม : เคยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อชา : โยมเคยเจ็บหางไหม
โยม : ฮืม??
โยม : ก็หางมันไม่มีนี่เจ้าค่ะ

มีในสิ่งใด แล้วยึดมั่นในสิ่งนั้น ก็ย่อมเจ็บ ย่อมทุกข์เอง
เมื่อไม่มี ไม่ยึด จะเอาอะไรมาทุกข์
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #39 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2013, 06:59:05 PM »



"...เธอจงระวัง ความคิดของเธอ
เพราะความคิดของเธอ จะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
...เธอจงระวัง ความประพฤติของเธอ
เพราะความประพฤติของเธอ จะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
...เธอจงระวัง ความเคยชินของเธอ
เพราะความเคยชินของเธอ จะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
...เธอจงระวัง อุปนิสัยของเธอ
เพราะอุปนิสัยของเธอ จะกำหนดชะตาชีวิตของเธอ ชั่วชีวิต "


หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #40 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2013, 06:01:23 AM »



หลวงปู่ชา สุภัทโท สนทนาธรรม กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ท่านได้พิจารณาถึงธาตุกรรมฐาน พิจารณาดูอาการที่สังขารทั้งมวลเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสลายไปเกิดความสังเวชใจว่า
 อันชีวิตย่อมสิ้นสุดลงแค่นี้หรือ จะยากดีมีจนก็พากันดิ้นรนไปหาความตาย ซึ่งเป็นปลายทางของชีวิต
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นสมบัติสากล ที่ทุกคนจะต้องเผชิญ

ครั้งหนึ่งท่านได้เข้ากราบนมัสการหลวงปู่มั่น ได้ปรารภข้อข้องใจถึงธรรมยุติและมหานิกาย หลวงปู่มั่นได้ชี้แจงว่า

การประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าถือเอาพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องญัตติเข้ายุตินิกายตามครูบาอาจารย์
ทางมหานิกายก็จำเป็นต้องมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเช่นเดียวกัน


เมื่อได้ฟังโอวาทหลวงปู่มั่นจบลงรู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยล้าได้หายไปจนหมดสิ้น
 จิตหยั่งลงสู่สมาธิด้วยอาการสงบ หมดสงสัยในหนทางประพฤติปฏิบัติ
เกิดความปลาบปลื้มปิติในธรรมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ได้กำลังใจและความอาจหาญพร้อมที่จะเอาชีวิตเดินพันในการทำความเพียรเพื่อจะบรรลุมรรคผลนิพานให้ได้
 คำสอนที่หลวงปู่มั่นเน้นเป็นที่สุดคือเรื่องตัวจิตและอาการต่าง ๆ ของจิต

วันหนึ่งเวลาประมาณสามทุ่มเศษ ๆ ได้มีหมาป่าฝูงหนึ่งวิ่งผ่านมา
ต่างวิ่งกรูกันเข้ามาจะทำอันตราย ท่านรู้สึกตกใจ ตั้งสติ กำหนดจิตอธิษฐานว่า

“ข้ามาที่นี่ได้ได้มาเพื่อเบียดเบียนใคร มาเพื่อต้องการบำเพ็ญคุณงามความดี มุ่งต่อความพ้นทุกข์
ถ้าหากว่าเราเคยได้กระทำกรรมต่อกันมา ก็ขอให้กัดข้าให้ตายไปเสียเถิด เพื่อเป็นการชดใช้กรรมเก่า
แต่ถ้าไม่เคยมีเวรภัย ต่อกันแล้ว ก็ขอให้หลีกไป”

หมาป่าเหล่านั้นทั้งเห่าทั้งขู่คำราม จิตเกิดความรู้สึกกลัวมาก ก็ปรากฏเห็นเป็นหลวงปู่มั่น ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“ไป๊ พวกสูจะมาทำอะไรเขาอยู่ที่นี่เล่า”

ท่านเงื้อท่อนไม้ขึ้นคล้ายจะตี หมาป่าเหล่านั้นแตกตื่นวิ่งหนีไป ท่านคิดว่าหลวงปู่มั่นมาช่วยจริง ๆ

คราวที่ปัสสาวะเลือดออกเป็นแท่ง ๆ คิดว่าถ้าตายสมควรตายก็ให้ตายเท่านั้นแหละ
จะทำยังไงได้ล่ะถึงกลัวไม่กลัวมันก็ต้องตาย เพราะความตายอยู่ที่เรานี้เอง ตายเพราะการบำเพ็ญภาวนานี่ตายก็เต็มใจตาย
ตายเพราะการทำชั่วนั้นไม่คุ้มค่า ตายอย่างนี้สมควรแล้ว เอ้า! ตายก็ตาย พระนิพพานอยู่ฟากความตายนะ
พิจารณาคนดีอยู่ที่ไหน คนดีอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดีเสียแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมันก็ดี เขาจะนินทา สรรเสริญ จะว่าจะทำอะไร
เราก็ยังดี แม้เขาจะข้ามหัวไป ก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าเรายังไม่ดี เขานินทา เราก็โกรธ ถ้าเขาสรรเสริญ เราก็ยินดี ก็หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น
เมื่อรู้ว่าคนดีอยู่ที่ไหนแล้ว เราจะมีหลักในการปล่อยวางความคิด เราจะอยู่ที่ไหน เขาจะรังเกียจหรือจะว่าอะไร
 ก็ถือว่าไม่ใช่เขาหรือเขาชั่ว เพราะดีหรือชั่วอยู่ที่ตัวเรา เราย่อมรู้จักตัวเราเองยิ่งกว่าใคร...

ระหว่างที่ท่านเดินธุดงค์คนเดียวแสวงหาความวิเวกเกิดอาพาธหนัก นอนซมพิษไข้อยู่องค์เดียวกลางภูเขา
ไข้ขึ้นสูงมากจนลุกไม่ขึ้น ประกอบกับไม่ได้ฉันอาหารมาหลายวัน ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียราวกับจะสิ้นใจ
ถ้ามีคนพบศพแจ้งข่าวบอกญาติพี่น้องทางบ้านก็จะเป็นภาระ จึงจะจุดไม้ขีดเผาใบสุทธิเพื่อทำลายหลักฐาน
พอได้ยินเสียงอีเก้งมันร้องดังก้องภูเขา เกิดกำลังใจขึ้นมากเพราะอีเก้งมันป่วยเป็น มันไม่มียากิน
หมอรักษาก็ไม่มี แต่ก็ยังมีลูกหลานสืบต่อเผ่าพันธุ์เป็นอันมาก จึงพยายามตะเกียกตะกายไปเอาน้ำในกามาดื่ม
แล้วลุกขึ้นนั่งทำสมาธิจนอาการไข้ทุเลาลงเรื่อย ๆ

การปฏิบัตินี้มันเป็นทุกข์ลำบากแสนสาหัส มันหนัก! เอาชีวิตเข้าแลก เสือจะกินช้างจะเหยียบ
ก็ให้มันตายไปเสียคิดอย่างนี้มันควรตายแล้ว เมื่อเราได้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ก็ไม่ต้องมีอะไรจะต้องกังวลอีกต่อไป
 ตายก็เหมือนไม่ตายละทีนี้ เลยเป็นเหตุให้ไม่กลัว เป็นธรรมาวุธ อาวุธคือธรรมะ
อาวุธของเราคือธรรมะอย่างเดียว ปล่อยมันเลย กล้าหาญ ยอมตายเสีย เสี่ยงชีวิต ถ้าคนไม่กลัวตายยอมตายเสียมันกลับไม่ตายนะ
ทีนี้ทุกข์ก็ให้มันเกินทุกข์ มันหมดทุกข์โน่น ให้มันเห็นเรื่องของมัน เห็นความจริง เห็นสัจธรรม

ขณะพักอยู่บนภูลังกา ได้เร่งความเพียรอย่างหนักพักผ่อนเพียงเล็กน้อย
 ไม่คำนึงถึงเวลาว่าเป็นกลางวัน หรือกลางคืน คงยืนหยัดต่อไปอย่างต่อเนื่องจิตพิจารณาเรื่องธาตุ และสมมุติบัญญัติอยู่ตลอดเวลา

“จิตมีความรู้สึกเหมือนเป็นคนละโลก ดูอะไรก็เปลี่ยนไปหมด กาน้ำตั้งอยู่มองดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่กาน้ำ กระโถน
 บาตรก็เปลี่ยนไปทุกอย่างเปลี่ยนสภาพไปหมดเหมือนหน้ามือกับหลังมือเหมือนแดดจ้าที่มีก้อนเมฆเคลื่อนมาบดบังแสงแดดก็วาบหายไป
ดูแล้วก็ไม่เป็นอะไร เป็นธาตุ เป็นของสมมุติทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายของเราก็ไม่ใช่ของเรา ล้วนแต่ของสมมุติ”

วันหนึ่งขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่เวลาประมาณห้าทุ่มกว่า รู้สึกแปลก ๆ มันแปลกมาแต่ตอนกลางวันแล้ว
รู้สึกว่าไม่คิดมาก มีอาการสบาย ๆ เขามีงานอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเดินจงกรมเมื่อยแล้ว เลยมานั่งที่กระท่อม
คู้ขาเข้าเกือบไม่ทันอ๊ะ! จิตสงบจริง ๆ เสียงเขาร้องรำอยู่ในหมู่บ้านมิใช่ว่าจะไม่ได้ยิน ยังได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้
แปลกเหมือนกัน เมื่อไม่เอาใจใส่ก็เงียบไป จะให้ได้ยินก็ได้ ไม่รู้สึกรำคาญ ภายในจิตเหมือนวัตถุสองอย่างตั้งอยู่ไม่ติดกันดูจิตกับอารมณ์ตั้งอยู่คนละส่วนเหมือนกระโถนกับกาน้ำ ก็เลยเข้าใจว่าจิตมีสมาธินี่ ถ้าน้อยไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ
ถ้ามันมีเสียงขึ้นก็ดูตัวผู้รู้ ขาดกันคนละส่วน
จึงพิจารณาว่า ถ้าไม่ใช่อย่างนี้ มันจะใช่ตรงไหนอีก มันเป็นอย่างนี้ ไม่ติดกันเลย ได้พิจารณาอย่างนี้เรื่อย ๆ
 จึงเข้าใจว่า อ้อ! อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน เรียกว่า สันตติ คือความสืบต่อ ขาด มันเลยเป็นสันติ แต่ก่อนมันเป็นสันติออกมา
จึงนั่งทำความเพียรต่อไป จิตในขณะที่นั่งทำความเพียรคราวนั้นไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งอื่นเลย
ถ้าเราจะหยุดความเพียรก็หยุดได้ตามสบาย เมื่อเราหยุดความเพียร เจ้าเกียจคร้านไหม เจ้าเหนื่อยไหม
 เจ้ารำคาญไหม เปล่า ไม่มีตอบได้ว่าไม่มี ของเหล่านี้ไม่มีในจิตใจ
มีแต่ความพอดีหมดทุกอย่างในนั้น ถ้าเราจะหยุดก็หยุดเอาเฉย ๆ นี่แหละ

ต่อมาจึงหยุดพัก หยุดแต่การนั่งเท่านั้น ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด เลยดึงเอาหมอนลูกหนึ่งมาวางไว้
ตั้งใจจะพักผ่อนเมื่อเอนกายลงจิตยังสงบอยู่อย่างเดิม พอศีรษะจะถึงหมอนมีอาการน้อมในใจ ไม่รู้มันน้อมไปไหน
 แต่มันน้อมเข้าไปคล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่งไปถูกสวิตช์ไฟเข้า ไปดันกับสวิตช์อันนั้น กายก็ระเบิดเสียงดังมาก
ความรู้ที่มีอยู่นั้นละเอียดที่สุด พอมันผ่านตรงจุดนั้นก็หลุดเข้าข้างในโน้น ไปอยู่ข้างในซึ่งไม่มีอะไร
แม้อะไรอะไรทั้งปวงก็ส่งเข้าไปไม่ได้ส่งเข้าไปไม่ถึง ไม่มีอะไรไปถึงหยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่ง
ก็ถอยออกมา คำว่าถอยออกมานี้ไม่ใช่ว่าจะให้มันถอยออกมาหรอก
เราเป็นเพียงผู้ดูเฉย ๆ เราเป็นผู้รู้เท่านั้น อาการเหล่านี้เป็นออกมา ๆ ก็มาถึงปกติจิตธรรมดา

เมื่อเป็นปกติดังเดิมแล้ว คำถามก็มีขึ้นมาว่า นี่มันอะไร? คำตอบเกิดขึ้นว่า สิ่งเหล่านี้ของเป็นเอง
ไม่ต้องสงสัยมันพูดเท่านี้จิตก็ยอม เมื่อหยุดอยู่พักหนึ่งก็น้อมเข้าไปอีก เราไม่ได้น้อมมันน้อมเอง
พอน้อมเข้าไป ๆ ก็ไปถูกสวิตช์ไฟอย่างเก่า ครั้งที่สองนี้ร่างกายแตกละเอียดหมด หลุดเข้าไปข้างในอีก
เงียบ! ยิ่งเก่งกว่าเก่า ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง เข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมันพอสมควรแล้วก็ถอยออกมาตามสภาวะของมัน
ในเวลานั้นมันเป็นอัตโนมัติ มิได้แต่งว่าจงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนี้ จงเข้าอย่างนั้นไม่มี
เราเป็นเพียงผู้ทำความรู้ ดูอยู่เฉย ๆ มันก็ถอยออกมาถึงปกติมิได้สงสัย แล้วก็นั่งพิจารณาน้อมเข้าไปอีก

ครั้งที่สามนี้โลกแตกละเอียดหมด ทั้งพื้นปฐพี แผ่นดิน แผ่นหญ้าต้นไม้ ภูเขาเลากา
เป็นอากาศธาตุหมด ไม่มีคน หมดไปเลย ตอนสุดท้ายนี้ไม่มีอะไร

เมื่อเข้าไปอยู่ตามปรารถนาของมัน ไม่รู้ว่ามันอยู่อย่างไร ดูยาก พูดยาก ของสิ่งนี้ไม่มีอะไรมาเปรียบปานได้เลย
นานที่สุดที่อยู่ในนั้น พอถึงกำหนดเวลาก็ถอนออกมา คำว่าถอนเราก็มิได้ถอนหรอก มันถอนของมันเอง
 เราเป็นผู้ดูเท่านั้น ก็เลยออกมาเป็นปกติ สามขณะนี้ใครจะเรียกว่าอะไร ใครรู้ เราจะเรียกอะไรเล่า

ที่เล่ามานี้เรื่องจิตตามธรรมชาติทั้งนั้น อาตมามิได้กล่าวถึงจิต ถึงเจตสิก ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น มีศรัทธา ทำเข้าไปจริงๆ
เอาชีวิตเดินพัน เมื่อถึงวาระที่เป็นอย่างนี้ออกมาแล้ว โลกนี้ แผ่นดินนี้มันพลิกไปหมด ความรู้ความเห็นมันแปลกไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
ในระยะนั้นถ้าคนอื่นเห็นอาจจะว่าเราเป็นบ้าจริง ๆ ถ้าผู้ควบคุมสติไม่ดีอาจเป็นบ้าได้นะ
เพราะมันไม่เหมือนเก่าสักอย่างเลย เห็นคนในโลกไม่เหมือนเก่า แต่มันก็เป็นผู้เดียวเท่านั้น
แปลกไปหมดทุกอย่าง ความนึกคิดทั้งหลายทั้งปวงนั้น เขาคิดไปทางโน้น แต่เราคิดไปทางนี้
 เขาพูดมาทางนี้ เราพูดไปทางโน้น เขาขึ้นทางโน้น เราลงทางนี้ มันต่างกับมนุษย์ไปหมด มันก็เป็นของมันเรื่อย ๆ ไป
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #41 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2013, 09:24:26 AM »



หลวงพ่อชา เล่าว่า ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ


ผ้าสบงที่เราใช้ไปสองปีแล้วจนจะขาดหมด จะนั่งแต่ละครั้งต้องถลกผ้าขึ้นมานิดหนึ่งเสียก่อน
เพราะผ้าที่เก่าจนขาดมันจะติดตัว ไม่ลื่นเหมือนผ้าใหม่ ตอนนั้นอยู่บ้านป่าตาว กำลังกวาดลานวัด
 เหงื่ออก เผลอนั่งลงเลย ไม่ได้ถลกผ้าขึ้น ขาดแควกตรงก้นพอดี ต้องเอาผ้าขาวม้ามาเปลี่ยน
แต่หาผ้ามาปะสบงไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักให้สะอาดแล้วเอามาปะข้างใน

เลยมานั่งคิดว่า เอ! พระพุทธเจ้านี้ทำไมทำให้คนต้องทนทุกข์จังเลย ขอคนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้
นึกท้อใจ เพราะจีวรก็ขาด สบงก็ขาด มานั่งภาวนาก็ตั้งใจได้ใหม่ คิดว่าเอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ถอยละ
ไม่มีผ้าก็ไม่ต้องนุ่ง จะเปลือยมันเลยทีนี้ ใจมันฮึดถึงขนาดนั้นทีเดียว คิดว่าทำให้ถึงที่สุดแล้ว ดูซิมันจะเป็นยังไง
จากนั้นมาก็นุ่งผ้าปะหน้าปะหลังมาเรื่อย ไปถึงไหนก็นุ่งมันอย่างนั้นแหละ

ปีนั้นเป็นปีที่มีเดือนแปด ๒ หน ไปกราบ อาจารย์กินรี อีกครั้ง ไปอยู่กับท่านก็ไม่เหมือนคนอื่น
เพราะธรรมเนียมของท่านไม่เหมือนใคร ท่านก็มองๆ อยู่ เราก็ไม่ขอ ถ้ามันขาดอีกก็หาผ้ามาปะเข้าไปอีก
ท่านก็ไม่ได้เอ่ยปากให้อยู่ด้วย เราก็ไม่ได้ขออยู่เหมือนกัน แต่ก็อยู่กับท่านน่ะแหละ ปฏิบัติไปทำไป
 ต่างคนต่างไม่พูด ใครจะเก่งกว่ากันว่างั้นเถอะ จวนเข้าพรรษาท่านคงไปบอกญาติของท่านว่า
มีพระมารูปหนึ่ง จีวรขาดหมดแล้ว ให้ตัดผ้าไตรไปถวายด้วยเถอะ เพราะมีคนเอาผ้ามาถวายเป็นผ้าทอเอง
 หนาทีเดียว ย้อมแก่นขนุน ก็เอาด้านจูงผีน่ะแหละมาเย็บ เย็บด้วยมือทั้งผืนเลย พวกโยมชีเขาช่วยกันเย็บให้
 ดีใจที่สุด ใช้อยู่ ๔-๕ ปีก็ไม่ขาด ใช้ครั้งแรกก็ดูกระปุกกระปุย เพราะผ้าใหม่มันกระด้าง ยังไม่กระชับตัว
เวลาเดินเสียงดังสวบสาบ ยิ่งใส่สังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้าไปยิ่งดูอ้วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยบ่น
ใส่ไปได้สักปีสองปีน่ะแหละผ้าจึงอ่อนตัวลง ก็ได้อาศัยผ้าผืนนั้นมาเรื่อย ยังนึกถึงบุญคุณของท่านอยู่เสมอ
เพราะท่านให้มาโดยที่เราไม่ได้ขอ เป็นบุญมาก ตั้งแต่ได้ผ้าผืนนั้นมาก็รู้สึกสบายกายสบายใจ

มองดูการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคต ทำให้นึกได้ว่ากรรมใดทำไปแล้วไม่ผิด
 ไม่ทำให้เดือดร้อน มีแต่ความสบายใจ กรรมนั้นดี มีความเห็นอยู่อย่างนั้น เห็นจริงตามนั้น ก็รู้สึกว่าชักเข้าท่า
เลยเร่งการภาวนาเป็นการใหญ่ ไม่หยุดเลย ผ้าผืนนั้นนะ ใส่ขึ้นภูเจอเสือเหลืองผมว่ามันไม่กล้ากัดแน่ พอมันโฮกมาเจอก็จะงักจังงังไปเลย

แต่ปัญหาใหญ่ในการปฏิบัติของหลวงพ่อในช่วงนี้ ก็ยังคงเป็นตัว “กามราคะ” นั่นเอง
เมื่อธุดงค์ไปพักที่วัดบ้านต้อง จังหวัดนครพนมนั้น ท่านก็ต้องผจญมารคู่ปรับเก่าตัวนี้จนเกือบเสียท่า
 ต้องตัดสินใจเผ่นหนีกลางดึก เหตุก็เกิดเพราะแม่ม่ายสาวสวยแถมรวยทรัพย์คนหนึ่ง มาถวายจังหันทุกวัน
ไม่ช้าไม่นานหลวงพ่อก็รู้สึกได้ว่า สีกาม่ายคนนี้คิดมิดีมิร้ายกับท่านเข้าเสียแล้ว
ตัวท่านเองจิตใจก็ชักจะหวั่นไหว มารกับธรรมะสู้รบกันอยู่อย่างหนักหน่งภายในจิตใจ
 กระทั่งคืนวันหนึ่งเมื่อจิตของท่านคิดปรุงแต่งเรื่องของแม่ม่าย
จนรู้สึกว่าจะไว้ใจตัวเองไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจเก็บบริขารในกลางดึกคืนนั้น แล้วก็เดินอย่างกระกวีกระวาดไปปลุกพ่อแก้ว

“ไปมื่ออื่นบ่ได้บ่ขะน่อย” (ไปพรุ่งนี้ไม่ได้หรือครับ) พ่อแก้วกราบเรียนถามอย่างงัวเงีย

“บ่ ฟ่าวไปเดี๋ยวนี้โลด” (ไม่ รีบไปเดี๋ยวนี้เลย) หลวงพ่อตอบหนักแน่นและเด็ดขาด

หลังจากที่มาอยู่วัดหนองป่าพง และสยบมารร้ายตัวนี้ได้อย่างราบคาบแล้ว
ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อมีโอกาสได้ไปโปรดญาติโยมที่วัดบ้านต้อง ระหว่างปรารภถึงความหลัง
 ท่านก็เล่าถึงการปฏิบัติของตัวเองในสมัยก่อนให้ชาวบ้านฟังอย่างขำๆ ว่า

“โอย! ยากหลายแนว แต่แนวที่มันยากนำอีหลีก็เรื่องแม่ออกนี่แหละ”
(ยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ)

เรื่องมันคงยากจริงๆ อย่างที่ท่านเล่าไว้ เพราะเมื่อไปจำพรรษากับท่านอาจารย์กินรีในปีเดียวกันนั้น
กามราคะก็หวนกลับมาเล่นงานท่านใหม่ และยิ่งร้ายกว่าครั้งก่อนด้วยซ้ำ
ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งกามราคะก็เข้ามารุมเร้าอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรืออยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม ปรากฏว่ามีอวัยวะเพศของผู้หญิงลอยปรากฏเต็มไปหมด
เกิดความรู้สึกรุนแรงจนแทบทำความเพียรไม่ได้ ต้องอดทนต่อสู้กับความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็น
หลวงพ่อเล่าว่า ความรู้สึกต่อกามราคะในครั้งนั้นย่ำยีจิตใจรุนแรงพอๆ
กับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่ไปอยู่ป่าช้าครั้งแรกนั่นเอง เดินจงกรมก็ไม่ได้
เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็มีอาการไหวตัว ต้องให้เขาทำที่จงกรมในป่าทึบเพื่อเดินเฉพาะ
ในเวลาค่ำมืดและเวลาเดินต้องถลกสบงพันเอวไว้ การต่อสู้กับกามราคะเป็นไปอย่างทรหดอดทน
 ขับเคี่ยวกันอยู่นานถึง ๑๐ วัน ความรู้สึกนิมิตเหล่านั้นจึงสงบและขาดหายไป

เรื่องนี้หลวงพ่อได้เปิดเผยให้สานุศิษย์ทราบในภายหลัง ด้วยเห็นว่าเป็นคติธรรมที่ดี
โดยเฉพาะแก่พระหนุ่มวัยฉกรรจ์ เพราะท่านเป็นพยานพิสูจน์ว่า กามราคะจะฮึกเหิมเท่าไร ผู้มีศรัทธายิ่งก็เอาชนะได้

ฉะนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๑ เมื่อ ท่านพระอาจารย์มหาอมร เขมจิตฺโต
ได้บันทึกชีวประวัติของหลวงพ่อตามคำบอกเล่าของท่านมาถึงตอนนี้
ก็รู้สึกไม่แน่ใจว่าสมควรจะเผยแผ่ต่อสาธารณชนหรือไม่ แต่หลวงพ่อก็ได้กำชับว่า

“ต้องเอาลง ถ้าไม่เอาตอนนี้ลงในหนังสือด้วย ก็ไม่ต้องพิมพ์ประวัติเลย”

เกี่ยวกับเรื่องสตรี หลวงพ่อท่านจะเข้มงวดเอากับลูกศิษย์ของท่านมาก
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า กามราคะ เป็นมารตัวสำคัญที่ทำให้พระต้องสึกหาลาเพศ
เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ต่อการประพฤติปฏิบัติ ในพระวินัยบัญญัติก็มีหลายสิกขาบทที่วางหลักไว้อย่างเข้มงวด
เพื่อกำกับการติดต่อกับมาตุคาม ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะสายเกินแก้
กามราคะก็เหมือนกับสุนัข ถ้าเอาข้าวเปล่าๆ ให้กินทุกวันๆ มันก็อ้วนอย่างหมูเหมือนกัน
 การปฏิบัตินั้นยากหลายอย่าง แต่ที่ยากจริงๆ ก็เรื่องผู้หญิงนี่แหละ ระวังนะ! อย่าให้งูเห่ามันฉก
 วันไหนมันแผ่แม่เบี้ยมากๆ ก็ให้ทำความเพียรให้มาก!

หลวงพ่อเองก็ระวังตัวมาก ใต้ถุนกุฏิท่านซึ่งใช้เป็นที่รับแขกก็โล่ง ถ้ามีแขกผู้หญิงมา
ต้องมีพระหรือเณร หรือโยมผู้ชายเป็นพยานรู้เห็นสิ่งที่หลวงพ่อสนทนากับผู้หญิงนั้นด้วย

และท่านก็เตือนพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า “ระวังเถอะผู้หญิง อย่าไปใกล้มัน
ไม่ใช่ใกล้ไม่ใช่ไกล แค่สายตาไปผ่านพริบเท่านั้นแหละ มันเป็นพิษเลย”

หลวงพ่อท่านกล่าวอธิบายพุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องที่พระอานนท์ถามพระพุทธเจ้า
ในเรื่องการติดต่อกับผู้หญิงว่า ไม่ให้เห็นดีกว่า ถ้าเหตุจะต้องเห็นมีอยู่ ก็ไม่ต้องพูดด้วย
 เหตุจะต้องพูดมีอยู่จะทำยังไง ต้องมีสติให้มาก นี่คือการปฏิบัติต่อสตรีเพศ

ปีที่หลวงพ่อจำพรรษาที่วัดป่าหนองฮีนั้น ไม่ใช่ว่าแต่เรื่องดุเดือดวุ่นวายอย่างเดียว
ตรงกันข้าม... คืนวันหนึ่งหลังจากทำความเพียรแล้ว หลวงพ่อคิดจะพักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ
เอนกายลงศรีษะถึงหมอนกำหนดสติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่า “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต”
ได้มาอยู่ใกล้ๆ นำแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า

“ชา...เราขอมอบลูกแก้วนี้แก่ท่าน มันมีรัศมีสว่างไสวมากนะ”

หลวงพ่อได้ยื่นมือขวาออกไป รับแก้วลูกนั้นกับมือของท่าน พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง
พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติ มีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติมีสติปลื้มใจตลอดพรรษา



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB: K.Supani ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #42 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2013, 08:27:34 PM »

" คนที่ท่าน รู้จักธรรมะนั้น
ไม่ได้เอาความจำมาพูด
แต่ท่านเอาความจริงมาพูด
คนทางโลกเอาความจำมาพูด "

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #43 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2013, 07:16:07 PM »

โอวาทธรรมครั้งสุดท้าย

ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ครูบาอาจารย์ได้เมตตาไปเยี่ยมโปรดฆราวาสผู้จวนจะสิ้นชีวิต
เพื่อให้เขาละโลกอย่างสงบระงับ ในกรณีนี้หลวงพ่อก็ได้ฝากธรรมะไว้กับศิษย์รุ่นเก่าหลายคนเหมือนกัน
 ซึ่งในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งชื่อพ่อพ่วง

สองสามีภรรยาคือ พ่อพ่วงและแม่แตง นามสกุลสมหมาย เป็นผู้มีส่วนร่วมในการอุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรวัดหนองป่าพง
ร่วมกับทายกทายิกาทั้งหลายเป็นอย่างดี จนกระทั่งพ่อพ่วงได้มาบวช ปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อ ๑ พรรษา
แล้วก็สึกออกไป โดยให้เหตุผลว่า

ทางวัดยังขัดสนสิ่งของเครื่องใช้อีกมาก ถ้าสึกออกไปเป็นโยมแล้วจะสามารถชักชวนผู้อื่นที่มีศรัทธา
ให้ร่วมกันจัดหาสิ่งของที่จำเป็นสำหรับวัดได้ เช่น ตอนนั้นระฆังสำหรับตีให้สัญญาณก็ไม่มี ใช้แผ่นเหล็กตีแทน

พ่อพ่วงจึงชักชวนอุบาสกอุบาสิกาสร้างระฆังมาถวาย ต่อมาก็นำนาฬิกามาถวาย
นอกจากพ่อพ่วงแม่แตงแล้วยังมีนางสาวเจียมใจ สมหมาย ซึ่งเป็นลูกสาวกับนางสาววงสินี จับฉาย
สร้างพระพุทธรูปทองขัด ขนาดหน้าตัก ๒๓ นิ้ว ถวายไว้เป็นพระประธาน ในศาลาโรงอุโบสถปัจจุบันนี้ ด้วย

เมื่อสึกออกมาแล้วพ่อพ่วงก็ยังไปรักษาศีลฟังเทศน์อยู่เป็นประจำ
เมื่อมีการก่อสร้างภายในวัดก็ให้การสนับสนุน พ่อพ่วงเคยกราบเรียนหลวงพ่อว่า

“ถ้าผมตายขอถวายร่างกระดูกแก่ท่านอาจารย์และขอให้รับศพผมมาจัดการที่วัดนี้”

หลวงพ่อก็รับคำ ต่อมาพ่อพ่วงก็เริ่มป่วย และเคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลหลายครั้ง
จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๐๖ อาการป่วยก็ทรุดลงมาก
 ลูกหลานจึงรับกลับมาอยู่บ้าน หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมบ้างเป็นบางครั้ง


ครั้นถึงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๐๘ อาการของพ่อพ่วงทรุดหนักอย่างน่าวิตก
ขากรรไกรแข็งพูดไม่ได้ ตาก็ลืมไม่ขึ้น มีแต่นอนครางอือ ๆ ลูกเมียก็เฝ้าดูอาการอยู่ แต่สุดปัญญาที่จะช่วยได้

วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๐๘ หลวงพ่อและพระอาจารย์จันทร์พร้อมด้วยพระอีกหลายรูปรับนิมนต์ไปฉันในกรมทหาร
พอฉันเสร็จแล้ว หลวงพ่อจึงพูดกับผู้กองสมบุญว่าอยากไปเยี่ยมพ่อพ่วงให้หารถคันใหญ่ให้
ผู้กองเรียนว่าไปเยี่ยมพ่อพ่วงไม่กี่คนเอารถคันเล็กไปก็ได้

แต่หลวงพ่อบอกว่าให้เอารถคันใหญ่ ผู้กองจึงได้จัดหาตามประสงค์ของท่าน
นายหนูถามว่าจะไปเยี่ยมหรือไปรับพ่อพ่วงกันแน่ หลวงพ่อตอบว่า

“ไปรับ” นายหนูจึงพูดว่า” จะไปรับอะไรแกยังไม่ตาย ลูกเขาจะให้มาหรือ
แกสั่งไว้ว่าตายแล้วจึงไปรับมิใช่หรือ”

หลวงพ่อนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ตายไม่ตายก็รับเอาไปวันนี้”
แล้วหันมาพูดกับพระอาจารย์จันทร์ว่า “ไปเถอะ...พ่อพ่วงกำลังคอย”

ไปถึงบ้านพ่อพ่วงเวลา ๑๒.๔๕ น. ขณะนั้นพวกลูก ๆ กำลังอยู่ดูเฝ้าอาการพ่อของตนอยู่
หลวงพ่อนั่งบนเตียงมองดูพ่อพ่วงอยู่ครู่หนึ่ง จึงลงมาเอามือลูบหน้าพ่อพ่วงเบา ๆ และเรียกว่า

“พ่อพ่วง พ่อพ่วง”

เป็นเวลาพอสมควรพ่อพ่วงจึงลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงหลวงพ่อ ทั้งหันหน้ามอง หลวงพ่อจึงถามว่า

“พ่อพ่วงจำอาตมาได้ไหม?”

พ่อพ่วงผงกศรีษะรับ มองดูหน้าหลวงพ่อแล้วน้ำตาไหล แต่ยังมีเสียงครางอยู่
หลวงพ่อเอามือจับหน้าผากพ่อพ่วงไว้ แล้วให้โอวาทว่า

“พ่อพ่วง เราเป็นนักปฏิบัตินะ เราเคยต่อสู้มันมานาน ถึงเวลาเขามาเอาก็ให้เขาไป
มันของเขาจะหวงไว้ทำไม เอาของเขามาก็ส่งคืนเขาไป เก็บเสียงไว้ข้างในสิ ปล่อยออกมาข้างนอกทำไม?”


พอหลวงพ่อพูดจบ เสียงครางของพ่อพ่วงก็เงียบลงทันที หลวงพ่อจึงให้โอวาทต่อไปว่า

“สังขารนี้มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน รูปนี้ไม่งามมันเก่าแล้วเพราะใช้มานาน ไปหาเอารูปร่างกายใหม่ไปยังสถานที่เราเคยเห็นโน้น”

(หมายถึงนิมิตที่เกิดขึ้นเมื่อคราวพ่อพ่วงบำเพ็ญธรรมอยู่ที่วัดตอนบวช)

หลวงพ่อเอามือลูบหน้าพ่อพ่วงเรื่อย ๆ พลางหันมาถามผู้กองสมบุญว่า

“เวลาเท่าไรแล้ว”

ผู้กองสมบุญยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วกราบเรียนว่า

“เวลา ๑๒.๕๕ ครับ”

“อีกห้านาทีพ่อพ่วงก็จะไปแล้ว”

หลวงพ่อบอกพร้อมกับลูบหน้าลูบตาพ่อพ่วงไปมา ตาของพ่อพ่วงค่อย ๆ หรี่ลง ๆ
พอเปลือกตาปิดกันก็เป็นเวลา ๑๓.๐๐ น. พอดี พ่อพ่วงสิ้นใจจากไปด้วยอาการสงบ

พ่อพ่วงได้จากไปโดยที่ได้ฟังโอวาทของหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
และมีมือของหลวงพ่อปิดเปลือกตาทั้งสองให้ พ่อพ่วงคงจะตายด้วยความภูมิใจและดีใจ
หลวงพ่อสั่งให้นำศพของพ่อพ่วงมาวัดทันที และเป็นเจ้าภาพจัดการทำศพให้โดยตลอด
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #44 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 10:35:59 PM »

 ทิฐิ - ทิฐิ คือความเห็น ที่จะช่วยดึงให้เรามีความรอบรู้พอสมควรก็มี
เพื่อเราจะเรียนรู้ เพื่อเราจะพิจารณาอยู่เหมือนกัน เช่น ความเห็นที่ว่า
เราดีกว่าเขา เห็นว่าเราเสมอเขา เห็นว่าเราโง่กว่าเขา ซึ่งเป็นความเห็นที่ผิดทั้งนั้น
แต่ว่าท่านเห็นแล้ว ท่านก็รู้มันด้วยปัญญา เกิดขึ้นแล้ว มันก็ดับไปของมัน เห็นว่าตัวดีกว่าเขา
นี้ก็ไม่ใช่ เห็นว่าตัวเสมอเขา ก็ไม่ใช่ เห็นว่าตัวนี่โง่กว่าเขา ก็ไม่ใช่ ความเห็นที่เป็นสัมมาทิฐินี่
มันต้องตัดต้นตัดปลายหมด มันจะไปตรงไหนล่ะ เห็นว่าเราดีกว่าเพื่อน เราก็ทะนงตัว
มันมีอยู่ในนั้นแหละ แต่ว่ามันยังไม่รู้จัก ยังไม่มีปัญญา เห็นว่าเราเสมอกับเพื่อน
มันก็ตีเสมอกันเท่านั้น เห็นว่าเราเลวกว่าเขา มันก็ตกใจคิดอาภัพอับจน มันมีอุปาทานในขันธ์ ๕ จึงเกิดภพเกิดชาติ

หลวงปู่ชา สุภัทโท
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 8
พิมพ์
กระโดดไป: