KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4กำลังใจ จากครูบา อาจารย์ ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4ตอบปัญหาธรรม กับ ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ
หน้า: [1] 2
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ตอบปัญหาธรรม กับ ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ  (อ่าน 31794 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:26:33 PM »

สวัสดีญาติธรรม ทุกท่านครับ
กระผมขอใช้พื้นที่กระทู้นี้ รวบรวมบทความธรรม และ ข้ออรรค ข้อธรรม ที่ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้ตอบเอาไว้ ในเว็บ
มาเผยแพร่ให้ท่านผู้สนใจ ได้อ่าน และได้ทำความเข้าใจ และน้อบไปพิจารณา กันนะครับผม

กอล์ฟ kammatan.com @ 8 กพ 2557
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:26:56 PM »

คำถาม - สวัสดี ครับอาจารย์ ที่หน้าที่ทำงานผม มีศาลมหาพรหม ทุกๆ คนต้องกราบต้องไหว้ มีผมกับพี่อีกท่านหนึ่งไม่ไหว้ หัวหน้างานสงสัยเลยถามผมกับรุ่นพี่ว่าทำไมคุณถึงไม่ไหว้ พวกคุณไม่ได้นับถือพุทธหรือ? รุ่นพี่ผมตอบว่า นับถือพุทธแต่ที่ไม่ไหว้เพราะไม่รู้ว่าไหว้อะไร ถ้าเป็นพระพุทธรูปก็จะไหว้ ส่วนผมตอบว่า ผมนับถือพระรัตนตรัย เพราะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงเป็นผู้เผยแผ่เพื่อดับทุกข์ได้จริง พระธรรมเป็นของดีจริง และพระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีจริง เลยไม่ไหว้สิ่งอื่นเพราะผมรู้สึกในใจว่าพระรัตนตรัยดีจริงๆ หัวหน้าบอกว่าเอาละถ้าไม่เจริญในหน้าที่การงาน หรือเงินเดือนไม่ขึ้นก็อย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

อาจารย์ครับ คำตอบที่หัวหน้าตอบนี้ เราไม่ต้องสนใจก็ได้เพราะสาระไม่มี หรือว่าพวกผมเป็นคนขวางโลก ผมจะแนะนำให้รุ่นพี่ควรทำอย่างไรดีครับ เพราะหัวหน้ามีใจแคบอย่างนี้ ถ้าความเจริญในหน้าที่การงานมันมาจากบุคคลเช่นนี้ผมก็จนปัญญา ช่วยแนะนำด้วยครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ - ที่คุณมั่นคงในพระรัตนตรัยนั้นดีแล้ว ขออนุโมทนาด้วย แต่ถ้าคุณจะไหว้พระพรหม ก็ขอให้นึกในใจทุกครั้งที่ไหว้ว่า ไหว้พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา และทำตนให้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเหล่านี้ คุณก็จะได้ประโยชน์ทั้งส่วนตัวและประโยชน์ทางสังคม ก็คงให้คำแนะนำได้เพียงเท่านี้ ขอให้คุณพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:28:05 PM »

เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ
ประทับที่ใต้ต้นโพธิที่ตรัสรู้นั้นเอง
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
(สิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้น)
มีอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี เป็นต้น
แล้วทรงเปล่งอุทานด้วยความเบิกบานพระทัยในเวลานั้นว่า
“เมื่อใดธรรมทั้งหลาย(สิ่งทั้งหลาย)ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีความเพียร ผู้เพ่งพินิจอยู่
เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป
เพราะมารู้ธรรมพร้อมด้วยเหตุ”

อธิบายความ

คำว่า “พราหมณ์” ในพุทธอุทานนี้ หมายถึง
ท่านผู้รู้ ผู้สงบ หมายอย่างสูงถึงพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลส
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระขีณาสพ แปลว่า ผู้สิ้นอาสวะแล้ว
คำว่า “พราหมณ์” ความหมายโดยทั่วไปหมายถึง
ผู้ที่เกิดในวรรณะพราหมณ์ในสังคมอินเดียโบราณ
ซึ่งแบ่งประชาชนออกเป็น ๔ วรรณะ คือ
กษัตริย์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร

ในพระสูตรที่ ๒ และที่ ๓ แห่งโพธิวรรคนี้
ให้ชื่อว่า ทุติยโพธิสูตร และตติยโพธิสูตร
ท่านเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าทรงพิจารณา
ปฏิจจสมุปบาทเหมือนกัน
ต่างกันแต่เพียงพุทธอุทานตอนท้ายเพียงเล็กน้อย คือ

พระสูตรที่ ๒ ว่า “เพราะรู้ความสิ้นไปแห่งเหตุปัจจัย”
พระสูตรที่ ๓ ว่า “ย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้
เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยกำจัดความมืดฉะนั้น”
พระสูตรที่ ๑ ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม
คือตามลำดับตั้งแต่อวิชชาเป็นต้นมา
หมายถึง ปฏิจจสมุปบาทสายเกิด
คือ ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์
พระสูตรที่ ๒ ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทสายดับ
หมายถึง การดับแห่งทุกข์เพราะอวิชชาดับเป็นต้น
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปฏิจจสมุปบาท
โดยปฏิโลมพระสูตรที่ ๓
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาททั้งอนุโลมและปฏิโลม
คือทั้งสายเกิดและสายดับ
หมายถึง การเกิดแห่งทุกข์และการดับแห่งทุกข์

"พุทธอุทาน"
อ.วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:29:42 PM »

บางพวกเห็นว่า ความสุขไม่ดีที่สุด
ยังมีสิ่งอื่นที่ดีกว่าความสุขเช่นปัญญาและคุณธรรมอื่นๆ
ยอมทุกข์เพื่อคุณธรรม ความดี
ดีกว่ามีสุขแต่เสียคุณธรรม เสียความดี

คนกลุ่มนี้เมื่อจะแสวงหาความสุข
ก็มักคำนึงถึงคุณภาพของความสุขด้วย

คำว่า “คุณภาพของความสุข” หมายความว่า
ต้องเป็นความสุขที่มีคุณภาพดี ความสุขที่ไม่มีทุกข์ตามมา
ภายหลัง ตัวอย่างเช่นความสุขจากประสาทสัมผัส
กับความสุขทางใจซึ่งเกิดจากคุณธรรม มีคุณภาพดีกว่า
ถ้าต้องแลกกันก็เลือกเอาความสุขทางใจ

ส่วนพวกแรกจะถือเอาความสุขที่หาง่าย
แม้รู้ว่ามีโทษติดมาด้วยก็ยอมรับโทษนั้น
หรือพยายามโดยประการที่จะเลือกเอาเฉพาะส่วนดี
และทิ้งส่วนที่เสียเป็นโทษเสีย
เหมือนคนจะกินปลา เอาปลามาทั้งตัวซึ่งมีก้างอยู่ด้วย
แล้วเลือกกินเฉพาะส่วนเนื้อ ทิ้งก้างไปเสีย
ต้องกินอย่างระมัดระวังเพื่อมิให้ส่วนที่เป็นโทษติดเข้าไปด้วย
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:30:11 PM »

การแผ่เมตตาหรือการอบรมตนให้มีเมตตากรุณานั้น
ตามหลักศาสนาของเรา
ท่านว่ามีอานิสงส์มากกว่าการให้ท่านและการรักษาศีล,

เพราะเหตุไร?
เพราะอยู่ในขั้นภาวนาและเป็นสมถภาวนา
เป็นขั้นที่ ๓ ของบันได ๓ ขั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา

การใช้โยนิโสมนสิกาและปัญญาพิจารณา
ให้เห็นไตรลักษณ์ในสิ่งทั้งปวงคือ
เห็นสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตานั้น
มีอานิสงค์สูงกว่าเมตตาภาวนา

เพราะเหตุไร?
เพราะอนิจจสัญญาดังกล่าวนั้นอยู่ในขั้นปัญญา
เป็นขั้นที่ ๓ ของบันได ๓ ขั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ซึ่งอันที่จริงเราก็ปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันได้

แต่ทำหน้าที่คนละอย่าง
กล่าวคือ ศีลให้ความสะอาด
สมาธิให้ความสงบมั่นคง
ปัญญาให้ความสว่าง

แม้ทานจะเป็นสิ่งมีอานิงส์น้อยกว่า
เมื่อเทียบกับศีลและภาวนา
หรือเทียบกับสมาธิและปัญญาก็ตาม
แต่เราไม่ควรดูหมิ่นทาน
ควรให้ทานไว้เสมอตามโอกาสตามกำลัง
เพราะท่านก็มีอานิสงส์มากตามฐานะของตน

โดยเฉพาะผู้ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏด้วยแล้ว
ยิ่งจำเป็น ทานอำนวยผลให้เป็นผู้ไม่ขาดแคลนไม่อดอยาก
เป็นยาเสน่ห์ เป็นเหตุให้ได้ลาภและบริวาร

ส่วนความตระหนี่เป็นยาให้คนเกลียดชัง
เป็นเหตุให้กำพร้าพวกพ้อง

ผู้มีเมตตาประจำใจย่อมไม่ละเลยการให้ทาน
และการรักษาศีล มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืน
เมื่อไม่มีวัตถุสิ่งของจะให้ก็ให้ปิยวาจา ให้กำลังใจ
ให้ความปลอดภัยแก่ผู้อื่น ผู้เข้าใกล้ไม่ต้องระแวง
ว่าภัยจักไปจากเรา

เมื่อเห็นคนที่ทำดี
หรือมีความสามารถพึงชมด้วยความจริงใจ
เป็นการให้กำลังใจแก่เขา
อย่าเป็นคนติเป็นอย่างเดียว ชมใครไม่เป็น
การชมมีผลมากกว่าการติ แต่อย่าทำโดยไม่สุจริตใจ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:31:58 PM »

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบุคคล ๒ จำพวกหาได้ยาก คือ
๑) บุพการี ผู้ทำอุปการะให้ก่อน คือทำความดีให้ด้วยใจ
เมตตากรุณา หวังความสุขต่อเรา

๒) กตัญญูกตเวทีผู้รู้อุปการะที่ท่านทำให้และตอบแทน

ที่ว่าหาได้ยากนั้นเพราะมีน้อย
ลองคิดดูว่าในจำนวนพลโลกประมาณ ๓-๔ พันล้านคน
เวลานี้มีกี่คนที่ทำอุปการะแก่ลูกด้วยน้ำใจอันงาม
ด้วยความรักและปรารถนาให้ลูกเป็นสุข
ยิ่งคนกตัญญูกตเวทียิ่งหาได้ยากขึ้นไปอีก
ในร้อยคนพันคน จะเจอสักคนหนึ่งกระมัง

ลูกหลานส่วนมากก็จ้องแต่จะแสดงความกตัญญูกตเวที
ต่อพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่มีทรัพย์สมบัติและชื่อเสียง ยศศักดิ์

บางทีเขาอาจกตัญญูต่อทรัพย์สินของท่านดอกกระมัง
ส่วนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ที่ไร้ทรัพย์สิน
ไม่ค่อยมีลูกหลานคนใดเอาใจใส่เหลียวแล
คงปล่อยให้ลำบากยากเข็นไปตลอดชีวิต

พอเจ็บป่วยกินอะไรไม่ได้แล้ว
ก็เอาของไปให้กันอย่างล้นหลาม
พอตายก็เศร้าโศกเสียใจ คร่ำครวญรำพัน
อย่างนี้ไม่ถูกต้อง

ลูกต้องมองดูธรรมชาติให้ดีแล้วเอาอย่างธรรมชาติ
เช่นที่ดินซึ่งแตกระแหง เมื่อเราหยดน้ำลงไป
มันดูดซึมเอาไว้หมด เพราะมันกำลังขาดแคลน
และต้องการน้ำอย่างยิ่ง แต่ถ้าลูกเอาน้ำสักถังหนึ่ง
เทลงในแม่น้ำเจ้าพระยา จะมีความหมายอะไร
ลูกจะทำความดีอะไรขอให้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
และด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ ก็จะได้รับประโยชน์
และได้รับผลอย่างบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:34:43 PM »

คำถาม - อาจารย์คะ พระพุทธองค์ทรงย่ำยีมารทั้ง ๓ เสียได้ ณ โพธิบัลลังก์ ไม่ทราบว่า มารทั้ง ๓ ได้แก่อะไรบ้างคะ และมีอ้างอิงอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหนคะ หนูจะได้ศึกษาอย่างละเอียดค่ะ

คำตอบ - ทราบกันดีว่า มารมี ๕ พวก
มาร มีความหมายว่า เป็นผู้ทำให้ตาย มี ๕ จำพวก คือ

(๑) ขันธมาร ขันธ์นั้นเป็นทุกข์ ทุกข์ทำให้ตายจากความสุข ตายจากความสำราญ

(๒) กิเลสมาร กิเลสนั้นเป็นเครื่องเศร้าหมองและเร่าร้อน ความเศร้าหมอง ทำให้ตายจากความผ่องใส ความเร่าร้อนทำให้ตายจากความสงบระงับ ตายจากความร่มเย็นเป็นสุข

(๓) อภิสังขารมาร สภาพผู้ตกแต่งยิ่ง คือ เกินพอดี ตกแต่งเกินไปก็ทำให้ตายจากอมตธรรม

(๔) มัจจุมาร ตายในขณะที่จะกระทำ หรือกำลังกระทำความดี ถ้ากระทำความดีเสร็จแล้วจึงตายเช่นนี้ ไม่นับ

(๕) เทวบุตตมาร เทวดาที่มีความริษยา กีดขวาง เหนี่ยวรั้ง ให้คงอยู่ในโลกียะ ทำให้ตายจากโลกุตตระ

ถ้าพูดถึงมารทั้งสาม ที่พระพุทธองค์ทรงมีชัยเหนือได้ ก็ได้แก่ กิเลสมาร อภิสังขารมาร และ เทวบุตตมาร ส่วนขันธมาร และมัจจุมาร แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังทรงเอาชนะไม่ได้ครับ

ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับว่า เรื่อง “มาร ๕ จำพวก” ไม่ได้มีที่มาในพระไตรปิฎก ครับ

มีที่มาที่สำคัญคือจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค เล่ม ๑ ตอนพุทธานุสติครับ

ในพระไตรปิฎก ไม่ได้จัดหมวดหมู่เป็น มาร ๕ จำพวก แต่ได้กล่าวอย่างกระจัดกระจายไปตามพระสูตรต่างๆ เช่น บางสูตรมีแต่ขันธมาร บางสูตรมีแต่มัจจุมาร บางสูตรมีกิเลสมารและเทวปุตตมาร

และในพระไตรปิฎก ไม่มี “อภิสังขารมาร” ครับ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:38:03 PM »



อานนท์ สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่

ขณะนั้นเอง ความปริวิตกถึงนายจุนทะ
ผู้ถวายสูกรมัทวะก็เกิดขึ้น จึงตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ เมื่อเรานิพพานแล้ว อาจจะมีผู้กล่าวโทษจุนทะ
ว่าถวายอาหารที่เป็นพิษ จนเป็นเหตุให้เราปรินิพพาน
หรือมิฉะนั้นจุนทะอาจจะเกิดวิปฏิสารเดือดร้อนใจไปเอง
ว่าเพราะเสวยสูกรมัทวะอันตนถวายแล้ว พระตถาคตจึงนิพพาน

ดูก่อนอานนท์ บิณฑบาตทานที่มีอานิสงส์มาก
มีผลไพศาล มีอยู่ ๒ คราวด้วยกัน คือ
เมื่อนางสุชาดาถวายก่อนเราจะตรัสรู้ครั้งหนึ่ง
และอีกครั้งหนึ่งที่จุนทะถวายนี้

ครั้งแรกเสวยอาหารของสุชาดาแล้ว
ตถาคตก็ถึงซึ่งกิเลสนิพพาน คือการดับกิเลสนิพพาน
คือดับขันธ์ อันเป็นวิบากที่ยังเหลืออยู่
ถ้าใครจะพึงตำหนิจุนทะ เธอพึงกล่าวให้เขาเข้าใจตามนี้
แล้วถ้าจุนทะจะถึงเดือดร้อนใจ เธอก็พึงกล่าวปลอบ
ให้เขาคลายวิตกกังวลเรื่องนี้
อาหารของจุนทะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายสำหรับเรา”

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีพระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ
และมีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร
เสด็จข้ามแม่น้ำหิรัญญวดี ถึงกรุงกุสินารา
เสด็จเข้าสู่สาลวโนทยาน
คืออุทยานซึ่งสะพรึบพรั่งด้วยต้นสาละ

รับสั่งให้พระอานนท์จัดแท่นบรรทม
ระหว่างต้นสาละ ซึ่งมีกิ่งโน้มเข้าหากัน
ให้หันพระเศียรทางทิศอุดร

ครั้งนั้น มีบุคคลเป็นอันมากจากทิศต่างๆ
เดินทางมาเพื่อบูชาพระพุทธสรีระเป็นปัจฉิมกาล
แผ่เป็นปริมณฑลกว้างออกไปสุดสายตา
สมเด็จพระมหาสมณะทรงเห็นเหตุนี้แล้ว
จึงตรัสกับพระอานนท์เป็นเชิงปรารภว่า

“อานนท์ พุทธบริษัททั้งสี่
คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ทำสักการบูชาเราด้วยเครื่องบูชาสักการะทั้งหลาย
อันเป็นอามิส เช่น ดอกไม้ ธูป เทียนเป็นต้น
หาชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยการบูชาอันยิ่งไม่

อานนท์เอยผู้ใดปฏิบัติตามธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง
ปฏิบัติธรรมให้เหมาะสม ผู้นั้นแล ชื่อว่าสักการะบูชาเรา
ด้วยการบูชาอันยอดเยี่ยม

พระอานนท์ทูลว่า
“พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อนนี้ออกพรรษาแล้ว
ภิกษุทั้งหลายต่างพากันเดินทางมาจากทิศานุทิศ
เพื่อเฝ้าพระองค์ ฟังโอวาทจากพระองค์
บัดนี้พระองค์จะปรินิพพานเสียแล้ว
ภิกษุทั้งหลายจะพึงไป ณ ที่ใด?”

“อานนท์ สถานที่อันเป็นเหตุให้ระลึกถึงเราก็มีอยู่
คือสถานที่ที่เราประสูติแล้ว คือลุมพินีวันสถาน
สถานที่ที่เราตั้งอาณาจักรแห่งธรรมขึ้นเป็นครั้งแรก
คืออิสิปตนมิคทายะ แขวงเมืองพาราณสี
สถานที่ที่เราตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
บรรลุความรู้อันประเสริฐ ทำกิเลสให้สิ้นไป
คือโพธิมณฑล ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม
และสถานที่ที่เราจะนิพพาน ณ บัดนี้
คือป่าไม้สลาะ ณ นครกุสินารา

อานนท์เอย สถานที่ทั้งสี่แห่งนี้เป็นสังเวชนียสถาน
สาราณียสถานสำหรับให้ระลึกถึงเรา
และเดินตามรอยบาทแห่งเรา”

โปรดติดตามอ่าน พระอานนท์ พุทธอนุชา ตอนต่อไป



ขอบพระคุณข้อมูลจาก : FB อาจารย์วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:39:08 PM »

รถยนต์คันหนึ่ง จอดนิ่งอยู่ในอู่ขายรถยนต์
คนมาดูบางคนก็ชอบ บางคนก็ไม่ชอบ
ทั้งๆ ที่มันไม่เคยไปทำอะไรให้ใครชอบหรือไม่ชอบมัน
ความชอบหรือไม่ชอบของคนจึงขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเขาเอง
รถยนต์จึงมีหลายยี่ห้อเพื่อให้คนเลือกตามอัธยาศัย
มันแตกต่างกันไปทั้งขนาด รูปและเครื่องยนต์

ในคนก็ทำนองเดียวกัน
เมื่อได้พิจารณาเห็นว่าตนได้ทำดี
ตามความถูกต้องและตามความควรแล้ว
ใครจะนินทาว่าร้ายบ้างก็ไม่ควรจะต้องหวั่นไหวไปตาม
ควรพิจารณาการกระทำชอบหรือไม่ชอบของตนเป็นที่ตั้ง
เรื่องนินทาเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
เรื่องสรรเสริญก็เหมือนกัน
ในการกระทำอย่างเดียวของเราบางคนชอบก็สรรเสริญ
บางคนไม่ชอบก็นินทาว่าร้าย
บัณฑิตผู้จะทำงานใหญ่ต้องมีใจมั่นคง
ไม่หวั่นไหวง่ายในนินทาสรรเสริญสุขและทุกข์
บางคนได้รับสรรเสริญมากเข้าก็หลงตัว
แล้วยกตนข่มผู้อื่น เห็นผู้อื่นเลวกว่าตนไปหมด,
โชคร้าย, เพราะเขาคนเดียวมองเห็นคนอื่นทั้งหลายเป็นคนเลว ปฏิกิริยาก็จะกลับมาว่า คนทั้งหลายอื่นจะมองเขาเป็นคนเลว
เลวตรงไหน? เลวตรงมองเห็นคนอื่นเป็นคนเลวนั่นเอง

"เหมือนภูเขา"
อ.วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:39:25 PM »

บัณฑิตไม่ควรหวั่นไหวในเรื่องสรรเสริญหรือนินทา
ควรควบคุมจิตของตนให้มั่นคง
สำรวจความประพฤติและการกระทำของตน
หากเห็นด้วยปัญญาแล้วว่า
ดำเนินไปในทำนองคลองธรรมอันควรแล้ว
ก็ขอให้ทำความดีต่อไปเถิด
เฉยต่อเสียงสรรเสริญและนินทานั้น
เพื่อมิให้กังวลเกินไป
จะได้ตั้งใจทำความดีเพื่อความดี
เพื่อความถูกต้องเพื่อธรรมต่อไป
ปล่อยให้บางคนสรรเสริญบางคนนินทา
ตามความพอใจและไม่พอใจของเขา
บุญบาปก็เป็นของเขาเอง ไม่ใช่ของเรา

"เหมือนภูเขา"
อ.วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:41:17 PM »

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตไม่ว่าด้านดีหรือด้านร้าย
ทำให้เข้าใจโลกและชีวิตดีขึ้น
เข้าใจตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
เป็นการเรียนรู้โลกและเรียนรู้ธรรมไปในตัว
เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างโลกๆ ก็จริง
แต่ถ้าผู้ใดมีกระจกธรรม (ธรรมาทาสะ) ไว้ส่องดูแล้ว
เขาจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งยิ่งนัก
ความทุกข์ของโลกมีมากสุดจะพรรณนาได้
ขอให้ใช้สายตาอันประกอบด้วยปัญญามองดูให้ทั่วเถิด
จะเห็นเพลิงทุกข์โหมอยู่ทั่วไป
เผาไหม้ทั้งกายและใจของสัตว์ทั้งหลาย
ให้เร่าร้อนกระวนกระวายอยู่
มองไปทางไหนก็เห็นแต่กองทุกข์
อันน่าสะพึงกลัวแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่บ้าง
แสดงตัวอย่างเปิดเผยอยู่บ้าง

"เหมือนภูเขา"
อ.วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:41:52 PM »

เรื่องประกอบในหนังสือ "เหมือนภูเขา"
โดย อ. วศิน อินทสระ

ท่านอาจารย์ฮากูอิน

บุตรีคนสวยของเจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่ง
เกิดตั้งครรภ์ขึ้นโดยยังมิได้แต่งงาน
พ่อแม่รู้สึกอับอายขายหน้าเพื่อนบ้านเหลือประมาณ
ความโกรธลูกตัวเองก็ทวีสูงขึ้นพอๆ กับความอับอาย
จึงขู่บังคับให้บุตรีบอกให้ได้ว่าบุตรในท้องเป็นลูกของใคร
เมื่อถูกบังคับหนักเข้า บุตรีไม่อาจอุบนิ่งไว้ต่อไปได้
จึงบอกพ่อแม่ว่า ท่านฮากูอิน เป็นพ่อของเด็กในท้อง

เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงบนศีรษะของพ่อแม่
เพราะท่านฮากูอินเป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนานิกายเซ็น
ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างยิ่ง
ท่านสอนธรรมที่ลึกซึ้งแก่ประชาชนตามแนวของนิกายเซ็น
พ่อแม่ของสตรีนั้นก็เคารพนับถือท่านฮากูอินอยู่มิใช่น้อย
แต่พอรู้จากลูกสาวเช่นนั้น
ความเคารพนับถือในอาจารย์ฮากูอินก็ปลาสนาการไปสิ้น
พ่อค้าและภรรยาจึงรีบร้อนไปหาท่านฮากูอินที่สำนัก
ดูหมิ่นท่าน, ด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

“ดีแต่สอนผู้อื่นให้ประพฤติดี ตัวเองทำแต่สิ่งที่ชั่วช้าลามก ฯลฯ”
“เรื่องอะไรกัน ?” ท่านฮากูอินถาม,
ไม่มีท่าทางตกใจหรือโกรธขึ้งแต่ประการใด
“ทำเป็นไม่รู้ ก็ลูกสาวฉันท้อง, เขาบอกว่าท้องกับคุณ”
“อ้อ. เขาว่าอย่างนั้นรึ ?” ท่านยังพูดเสียงเรียบเหมือนเดิม
แล้วอยู่ในอาการสงบนิ่ง
เมื่อพ่อค้าและภรรยาได้ด่าท่านจนสะใจแล้วก็จากไป

วันเวลาล่วงไป เสียงนินทาว่าร้าย
ซุบซิบติเตียนท่านฮากูอินก็แผ่กระจายไปทั่วหมู่บ้านนั้น
และหมู่บ้านใกล้เคียง จนกระทั่งเด็กคลอดจากครรภ์มารดา
ตาและยายของเด็กนำไปให้ท่านฮากูอินเลี้ยง
พร้อมด้วยกระแทกกระทั้นว่า “นี่พยานแห่งความชั่วของคุณ”

ท่านอาจารย์รับเด็กไว้เลี้ยงด้วยความสงบ
ทะนุถนอมรักใคร่อย่างบุตรของตน
เสียงนินทาว่าร้ายยิ่งแพร่สะพัดมากขึ้นเพราะเห็นสมจริง
คนที่เคยเคารพนับถือก็สิ้นความเคารพนับถือ
แถมขยะแขยงชิงชังเสียอีก
ส่วนคนที่ไม่เคยเคารพนับถือ
และมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์อยู่แล้วนั้นไม่ต้องพูดถึง
จนกระทั่งเด็กน้อย ผู้ไม่รู้เรื่องอะไร
แต่รักท่านฮากูอินเหลือเกิน อายุครบขวบ
กำลังน่ารัก น่าเอ็นดู
ความเร่าร้อน ซึ่งเผาอกของสตรีผู้เป็นมารดา
อยู่เป็นเวลาเกือบ ๒ ปี แล้วก็ทวีรุนแรงขึ้น
ไฟแห่งบาปอันเกิดจากการใส่ความประทุษร้าย
ต่อท่านผู้ไม่มีภัย ไม่ประทุษร้าย
ได้โหมรุนแรง จนเธอไม่อาจทนได้ต่อไป
จึงเปิดเผยออกมาว่า
พ่อของเด็กที่แท้จริงเป็นหนุ่มลูกจ้างร้านขายปลาในตลาด
เธอละอายเกินไป (ในตอนแรก) ที่จะเปิดเผยว่า
หนุ่มลูกจ้างร้านขายปลาเป็นคนรักของเธอ
แต่ความทุกข์ซึ่งเกิดจากบาป
แห่งการใส่ความท่านผู้สงบมันหนักหน่วงรุนแรง
เหนือความละอาย ความทุกข์มักมีอำนาจเหนือความละอายเสมอ
คราวนี้เหมือนแผ่นดินทรุด หรือเหมือนถูกโยนลงไปในเหว ๒
ตายายเดือดร้อนอย่างหนัก รีบไปหาท่านฮากูอิน
กราบแล้วกราบอีก ขอขมา ให้ท่านยกโทษให้
พร้อมด้วยตำหนิติเตียนลูกสาวไปด้วย
“ลูกสาวของกระผมมันไม่ดีเอง
ตอนนี้มันบอกแล้วว่ามันมีท้องกับลูกจ้างร้านขายปลาในตลาด”
“เขาว่าอย่างนั้นรึ? ” เสียงเรียบเหมือนเดิมจากท่านฮากูอิน
เมื่อเขาขอหลานคืนไป ท่านมอบให้ด้วยอาการสงบ
เหมือนตอนรับเด็กไว้เลี้ยงนั้นแล
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:22:07 PM »

คนที่ดีแต่เอาหน้า ไม่ทำความดีจริงและไม่มีดีจริง
สักแต่ว่าให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นเช่นนั้น
ดีย่อมแตกในไม่ช้า ส่วนคนทำดีจริง มีแต่ดีจริง
แม้จะไม่ออกหน้า ไม่แสดงตนว่า
เป็นผู้ได้ทำความดีเช่นนั้น ๆ แต่คนใกล้ชิดย่อมเห็น

และจะมองเขาด้วยความนิยมยกย่อง
เกียรติคุณที่เขาได้ย่อมยั่งยืน ในทางโลก
คนที่ได้ดี มีตำแหน่งสูงขึ้นเพราะการประจบเจ้านาย
ก็มีเหมือนกัน แต่มักเป็นไปชั่วครู่ชั่วคราว
พอเปลี่ยนเจ้านาย ฐานะของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย

แต่คนได้ดีเพราะความสามารถของตนเอง
ย่อมได้รับความนิยมยกย่องทุกกาลทุกสมัย
แม้ใครไม่เลี้ยงเขา เขาก็มีความสามารถที่จะเลี้ยงตนได้
ทรัพย์ที่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงอันสุจริตนั้น
ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ไม่จืดจางง่าย และไม่มีวิปฏิสาร
(ความเดือดร้อนใจเพราะรู้สึกว่าได้ประกอบกรรมชั่ว)
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2014, 10:29:52 PM »

พระพุทธอุทานเรื่อง “สัจจะและธรรมะ” (ชฏิลสูตร)

ความเบื้องต้น
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่คยาสีสะ
ใกล้แม่น้ำคยาเมืองราชคฤห์
สมัยนั้น มีชฎิลเป็นอันมากลงอาบน้ำในแม่น้ำคยา
ด้วยหวังว่าตนจะบริสุทธิ์สะอาดจากบาปด้วยน้ำนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องนั้นแล้วทรงเปล่งอุทานว่า
“ความสะอาด(ภายใน)มีไม่ได้ด้วยน้ำ
แต่ยังมีคนเป็นอันมากที่อาบน้ำอยู่
เพื่อความสะอาดนั้น
สัจจะและธรรมะมีในผู้ใด
ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์”

อธิบายความ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
ถ้าบุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยน้ำ
ไปสวรรค์ได้ด้วยการอาบน้ำในแม่น้ำ
ที่เขาเข้าใจว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์
กุ้ง หอย ปู ปลา และเต่าในแม่น้ำก็คงจะบริสุทธิ์
และไปสวรรค์กันหมดแล้ว
เพราะแช่อยู่ในแม่น้ำตลอดเวลา

คำว่า “สัจจะ” หมายถึง สัจจวาจา
มีพระพุทธศาสนสุภาษิตหลายแห่งที่กล่าวถึงคุณของสัจจวาจา
เช่นว่า สัจจะเป็นวาจาที่ไม่ตาย
สัจจะเป็นรสดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย
สัตบุรุษทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในสัจจะ
ที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม ฯ
สัจจะ หมายถึง สัจจญาณก็ได้
กล่าวคือ ญาณในสัจจะทั้ง ๔ ได้แก่ ญาณในอริยสัจ ๔
คำว่า “ธรรมะ” ในที่นี้ หมายถึง โลกุตตรธรรม ๙
คือ มรรค ๔ ผล ๔ มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นต้น
และนิพพาน ๑
ถามว่า โลกียธรรมมีเท่าใด
ตอบว่า นอกจากโลกุตตรธรรม ๙ แล้ว
ก็เป็นโลกียธรรมทั้งหมด
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้
เมื่อประทับอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่งชื่อ คยาสีสะ
อรรถกถาอธิบายว่าที่ชื่อคยาสีสะนั้น
เพราะมียอดเหมือนหัวช้าง

"พุทธอุทาน"
อ.วศิน อินทสระ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 08:15:04 PM »

การพูดจริง พูดอ่อนหวาน
แต่ถ้าทำให้คนแตกกันก็ไม่ดี
การพูดให้คนแตกสามัคคีกันมีโทษมาก

ผู้มุ่งประโยชน์แก่ส่วนรวม
จึงควรพูดประสานสามัคคี
ทำคนที่กำลังจะแตกกันให้ดีกัน
ทำคนที่แตกกันแล้วให้ประสานกันเข้าใหม่

คนไม่ใช่หินที่แตกแล้วประสานไม่ได้
แต่คนเหมือนดินเหนียว อาจแยกแตกระแหงเพราะขาดน้ำ
พอมีน้ำเพียงพอให้ดินชุ่ม ดินก็รวมเข้ากันได้
น้ำคำอันรู้จักประสานสามัคคี จึงเป็นเสมือนน้ำชโลมดิน
ให้อ่อนลบรอยแยกเสียได้

นอกจากนี้ ควรพูดให้มีประโยชน์ด้วย
คำพูดมีประโยชน์จัดเป็นสำคัญมาก
เป็นองค์คุณที่เป็นแกนกลางของปิยวาจา
ปราศจากประโยชน์เสียแล้ว
แม้จะมีองค์อย่างอื่นครบถ้วน
วาจานั้นก็ด้อยคุณค่าลง
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: [1] 2
พิมพ์
กระโดดไป: