KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนาธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
หน้า: 1 [2] 3 4 5
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะที่ถ่ายทอด โดย พระอาจารย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน  (อ่าน 100703 ครั้ง)
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2012, 09:43:00 AM »



พระโสดาบันบุคคล คิดว่าท่านรู้และละได้โดยข้ออุปมาว่า

มีบุรุษผู้หนึ่งเดินทางเข้าไปในป่าลึก ไปพบบึงแห่งหนึ่งมีน้ำใสสะอาดและมีรสจืดสนิทดี
แต่น้ำนั้นถูกจอกแหนปกคลุมไว้ ไม่สามารถจะมองเห็นน้ำโดยชัดเจน

เขาคนนั้นจึงแหวกจอกแหนที่ปกคลุมน้ำนั้นออกแล้วก็มองเห็นน้ำภายในบึงนั้นใสสะอาดและเป็นที่น่าดื่ม
จึงตักขึ้นมาดื่มทดลองดู ก็รู้ว่าน้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทดี
เขาก็ตั้งหน้าดื่มจนเพียงพอกับความต้องการที่เขากระหายมาเป็นเวลานาน

เมื่อดื่มพอกับความต้องการแล้วก็จากไป ส่วนจอกแหนที่ถูกเขาแหวกออกจากน้ำก็ไหลเข้ามาปกคลุมน้ำตามเดิม

เขาคนนั้นแม้จากไปแล้วก็ยังมีความติดใจ และคิดถึงน้ำในบึงนั้นอยู่เสมอ
และทุกครั้งที่เขาเข้าไปในป่านั้น ต้องตรงไปที่บึงและแหวกจอกแหนออก
แล้วตักขึ้นมาอาบดื่มและชำระล้างตามสบายทุก ๆ ครั้งที่เขาต้องการ
เวลาเขาจากไปแล้วแม้น้ำในบึงนั้นจะถูกจอกแหนปกคลุมไว้อย่างมิดชิดก็ตาม

แต่ความเชื่อที่เคยฝังอยู่ในใจเขาว่า น้ำในบึงนั้นมีอยู่อย่างสมบูรณ์หนึ่ง
น้ำในบึงนั้นใสสะอาดหนึ่ง น้ำในบึงนั้นมีรสจืดสนิทหนึ่ง ความเชื่อทั้งนี้ของเขาจะไม่มีวันถอนตลอดกาล

ข้อนี้ เทียบกันได้กับโยคาวจร ภาวนาพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกายชัดเจนด้วยปัญญาในขณะนั้นแล้ว
 จิตปล่อยวางจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หยั่งเข้าสู่ความสงบหมดจดโดยเฉพาะ ไม่มีความสัมพันธ์กับขันธ์ทั้งหลายเลย

และขณะนั้น ขันธ์ทั้งห้าไม่ทำงานประสานกับจิต คือต่างอันต่างอยู่
เพราะถูกความเพียรแยกจากกันโดยเด็ดขาดแล้ว
ขณะนั้นแลเป็นขณะที่เกิดความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นมาอย่างไม่มีสมัยใดๆ
เสมอเหมือนได้ นับแต่วันเกิดและวันปฏิบัติมา แต่ก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ปรากฏขึ้นในเวลานั้น

จิตก็ได้ทรงตัวอยู่ในความสงบสุขชั่วระยะกาล แล้วจึงถอนขึ้นมา
พอจิตถอนขึ้นมาจากที่นั้นแล้ว ขันธ์กับจิตก็เข้าประสานกันตามเดิม..


หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2012, 11:02:46 AM »



ปัญญาเร็วเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงขั้นสังขารที่เกิดดีก็ตามชั่วก็ตาม เกิดแล้วดับทั้งนั้นๆ
ปัญญาไวเข้าเร็วเข้า สุดท้ายก็มีแต่สังขารกับสติดูที่มันเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมาจากจิตใจ
 เกิดแล้วดับ ดีก็ดับ ชั่วก็ดับ อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ที่ท่านว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
ท่านแสดงไว้กลางๆ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา
 นี่ท่านพูดกลางๆ เอาไว้ แต่ผู้เห็นธรรมจะไม่พูดอย่างนั้น เช่นอย่างพระอัญญาโกณฑัญญะจะไม่พูดอย่างนั้น
เพราะกระเทือนอย่างหนัก กระเทือนธรรมข้อนี้อย่างหนัก ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
พระอัญญาโกณฑัญญะออกเป็นอุทานขึ้นมาเลย สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น

อุทานของพระอัญญาโกณฑัญญะจะเกิดขึ้นอย่างนี้ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อะไรล่ะไม่ดับ
นั่น อยู่ในนั้นละ อยู่ในจิตที่ไม่ดับ มันจ้าอยู่ภายในจิตนี่ไม่ดับ นอกนั้นดับหมด อันนี้ไม่ดับ
นี่ท่านได้พยานที่ว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ ท่านได้อย่างนี้
ความรู้ของพระอัญญาโกณฑัญญะเกิดขึ้นในเวลานั้น ไม่ได้เป็นความรู้แบบตำรับตำรา
เป็นความรู้ที่เจอกันอย่างจังๆ เพราะฉะนั้นจึงออกอุทานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่สะทกสะท้านเลยว่า
 อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อะไรไม่ดับ นี่มันเห็นอยู่ในนั้น มันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน คือจิตไม่ดับ


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"ถ้ามีสติแล้ว กิเลสจะยุบยอบ"
๑๘ กรกฏาคม ๒๕๕๑
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: ธันวาคม 26, 2012, 05:36:06 PM »



ผู้เริ่มต้นให้ใช้คำบริกรรม ให้เป็นจริงเป็นจังอย่าเหลาะแหละ
เราชอบคำบริกรรมใดที่ถูกจริตนิสัยของเรา ให้ยึดคำบริกรรมนั้นไว้กับใจ
 ผูกมัดไว้ที่ใจ เพราะใจนี้กิเลสออกมาช่องเดียวกันจากใจ ผลักดันใจให้อยากคิดอยากปรุง
อยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งต่างๆ ไม่หยุดไม่ถอย ไม่ปล่อยไม่วางใจเลย
มีความหนุนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าจะปล่อยให้กิเลสหนุนอย่างนี้ ก็เป็นกี่กัปกี่กัลป์
ไม่มีต้นมีปลาย ไม่มีที่ยุติได้เลย จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง เป็นเครื่องกำกับรักษา กำจัดสิ่งเหล่านี้

ในเบื้องต้นให้ใช้คำบริกรรม เช่น กิเลสอยากจะคิดเรื่องอะไร ไม่ยอมให้คิดในเวลานั้น
ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว ไม่นานนักสำหรับผู้ที่ปฏิบัติด้วยความจริงจังแล้ว
จะเห็นความสงบของใจปรากฏขึ้นด้วยการภาวนา มีคำบริกรรมและสติเป็นรากฐานสำคัญนี้โดยถ่ายเดียว
 ที่อื่นเราอย่าไปหวัง หวังมรรคผลนิพพานที่โน่นที่นี่ อย่าไปหวัง เป็นเรื่องเหลวไหลลอยลม ไม่ใช่เรื่องจริง

เรื่องจริงคือ ให้ปักลงที่ตรงนี้แหละ ตั้งคำบริกรรมลงไป ตั้งสติให้ดี ใจของเรามันจะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปไหน
ไม่พ้นคำบริกรรมที่ผูกมัดนี้ไว้ได้ คือช่องทางที่กิเลสจะออก ออกไปทางสังขาร สัญญาอารมณ์ต่างๆ
ออกมาที่ใจ ทีนี้เราไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาพลุกพล่านรบกวนใจ เราต้องการบำรุงใจของเรา
รักษาใจของเราให้ปลอดภัยจากกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ด้วยคำบริกรรม ตามที่จริตนิสัยชอบ
และให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรม เคลื่อนไหวไปมาที่ใดก็ตาม ไม่เพียงแต่ว่าเรานั่งภาวนาหรือเดินจงกรม
 ที่เรียกว่า ความเพียร จึงมีสติ


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"นักปฏิบัติให้ยึดการพิจารณาร่างกานเป็นหลัก"
๑ สิงหาคม ๒๕๔๗
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2012, 05:23:40 PM »



อยู่ที่ไหนอย่าไปสนใจกับสิ่งอื่นสิ่งใด ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมภายในใจ
ขอให้ทุกท่านสนใจธรรมภายในใจของตน ศีลมีอยู่แล้วรักษาให้ดี ธรรมบำเพ็ญขึ้นไป
ตั้งแต่สมถธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม วิมุตติธรรม จะขึ้นอยู่ที่จิตใจของเราผู้บำเพ็ญด้วยดีนั้นแหละไม่ไปไหน
วันคืนปีเดือน มันมืดมันแจ้งมานี้ตั้งแต่กาลไหนๆ ไม่เห็นมาทำบาปทำบุญให้ใคร มีแต่ตัวของเรา
ทำบาปก็ตัวของเรา ทำบุญก็ตัวของเรา ไปตกนรกหมกไหม้ก็เป็นตัวของเรา
ไปสวรรค์นิพพานก็ตัวของเรา ให้ดูตัวของเราที่มันพร้อมเสมอที่จะเคลื่อนย้ายไปที่สูงและที่ต่ำ
ตามการกระทำดีชั่วของตน ให้ดูที่จุดนี้ให้ดี ถ้าดูจุดนี้แล้วคนเราจะไม่ค่อยผิดพลาด ไม่ค่อยลืมตัว

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"สมบัติใดสู้ศีลสู้ธรรมไม่ได้"
๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: มกราคม 22, 2013, 05:12:09 PM »



ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เยี่ยมอาพาธหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
หลังเข้ารับการผ่าตัดด้วยอาการไส้เลื่อนอย่างรุนแรง
ท่านได้กราบขอขมาครูบาอาจารย์ ที่แสดงความอ่อนแอ
เป็นพระกรรมฐาน แต่ต้องมาพักค้างคืน รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
ตลอดระยะเวลาที่องค์หลวงปู่หล้าท่านอาพาธด้วยโรครุมเร้าอย่างรุนแรงหลายต่อหลายโรค
ท่านแสดงความอาจหาญ เคารพในธรรม
ไม่ลดหย่อนในสัจจะ ไม่แสดงความอ่อนแอ
ให้เป็นที่ติเตียนของครูบาอาจารย์
ท่านจึงมิยอมให้นำองค์ท่านมารักษาและพักค้างแรมในโรงพยาบาล

แต่ด้วยเหตุสุดวิสัย ลูกศิษย์จึงต้องนำท่านส่งเข้ารับการรักษา
และต้องฝืน ให้ท่านต้องพักค้างแรมในโรงพยาบาล
เมื่อองค์ท่านอาจารย์มหาที่ท่านเคารพเมตตามาเยี่ยม
ท่านจึงได้กราบขอขมา ด้วยสุดวิสัย
ซึ่งท่านอาจารย์มหาของท่านก็เข้าใจ
อนุญาตให้หมอทำหน้าที่ไปตามสมควร
แต่เมื่อถึงเวลาที่หมอไม่อาจเยียวยาได้
ท่านก็เมตตาให้หยุดการรักษา
ให้หลวงปู่หล้าท่านทำหน้าที่ให้สมกับคำว่า "พระกรรมฐาน"

Credit : ณรงค์ชัย โตประเสริฐ
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 23, 2013, 04:39:15 PM »

"การตั้งข้อสังเกตจิตในเวลาฟังเทศน์หรือเวลานั่งภาวนา
เราไม่ต้องกดขี่บังคับจิตจนเกินไป
เป็นเพียงทำความรู้ไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น
ท่านผู้กำลังเริ่มฝึกหัดโปรดจดจำวิธีไว้ แล้วนำไปปฏิบัติ
ส่วนจะปรากฏผลอย่างไรนั้น โปรดอย่าคาดคะเนและถือเป็นอารมณ์
ในผลของสมาธิที่เคยปรากฏมาในคราวล่วงแล้วขอให้ตั้งหลักปัจจุบัน
คือระหว่างจิตกับอารมณ์มีลมหายใจ เป็นต้น ที่กำลังพิจารณาอยู่ให้มั่นคง
จะเป็นเครื่องหนุนให้เกิดความสงบเยือกเย็นขึ้นมาในเวลานั้น"

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 11:04:36 AM »

"บุพเพนิวาสชาติปางก่อนเป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย
พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้
จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน
ยิ่งมีความแน่นหนามีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ

ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลนที่หล่อเลี้ยงแล้วมันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ
อันนี้การมาอยู่ด้วยกันได้รับความซื่อสัตย์สุจริต ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน
สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป

แปลในธรรม นี่ละที่ว่า ดอกบัวที่เกิดในโคลนตม โคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น
ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ก็เหมือนเกิดในเปือกตม แล้วต่างคนต่างทำความดี
ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันแล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น อย่างพระนางพิมพา
พระพุทธเจ้าเห็นไหมล่ะ เวลาออก ออกไม่มองหน้ามองหลัง ไม่ให้ทราบเลย เรียกว่าขโมยไปเลย
เวลาขากลับมาก็เป็นอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 11:10:04 AM »



สัตว์พาหนะที่รับภาระในการคราดการไถ จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ
สำคัญที่มูลคราดมูลไถต้องแหลกละเอียดเป็นที่พอใจ เหมาะแก่การเพาะปลูกนั่นแหละ เขาจึงหยุด

เรื่องปัญญาของเรา จะช้าหรือเร็วไม่สำคัญ จะพิจารณากี่ครั้งกี่หน
โดยถือธาตุขันธ์ของเรานี้เป็นเหมือนกับพื้นที่ทำงานคราดไถของชาวนา
สติปัญญาเป็นเหมือนกับเราคราดเราไถ ค้นคว้าทบทวนไปมาอยู่นั่นแหละ
ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นที่เข้าใจอย่างแน่ชัดแล้วก็หยุด
จะขืนพิจารณาไปได้อย่างไรเมื่อทราบว่าเข้าใจด้วยปัญญาจนพอแล้ว

เช่นเดียวกับการรับประทาน หิวเราก็ทราบว่าหิว หิวมากหิวน้อยเราก็ทราบ
เวลารับประทานพอแก่ความต้องการแล้ว จะฝืนให้รับประทานได้อีกอย่างไร
การพิจารณาจนเป็นที่เข้าใจในสิ่งนั้นอย่างชัดเจนด้วยปัญญาก็เช่นเดียวกัน"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 12:57:01 PM »



ไปอยู่กับท่านได้ประมาณสัก ๔-๕ คืนเท่านั้นกระมัง ความฝันนี้ก็เป็นความฝันเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน ฝันว่าได้สะพายบาตร แบกกลด ครองผ้าด้วยดีไปตามทางอันรกชัฏ สองฟากทางแยกไปไหนไม่ได้มีแต่ขวากแต่หนามเต็มไปหมด นอกจากจะพยายามไปตามทางที่เป็นเพียงด่านๆ ไปอย่างนั้นแหละ รกรุงรัง หากพอรู้เงื่อนพอเป็นแถวทางไป พอไปถึงที่แห่งหนึ่งก็มีกอไผ่หนาๆ ล้มทับขวางทางไว้ หาทางไปไม่ได้ จะไปทางไหนก็ไปไม่ได้ มองดูสองฟากทางก็ไม่มีทางไป เอ นี่เราจะไปยังไงนา เสาะที่นั่นเสาะที่นี่ไปก็เลยเห็นช่อง ช่องที่ทางเดินไปตรงนั้นแหละ เป็นช่องนิดหน่อยพอที่จะบึกบึนไปให้หลวมตัวกับบาตรลูกหนึ่ง พอไปได้

เมื่อไม่มีทางไปจริงๆ ก็เปลื้องจีวรออก มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน เหมือนเราไม่ได้ฝัน เปลื้องจีวรออกพับเก็บอย่างที่เราพับเก็บเอามาวางนี้แล เอาบาตรออกจากบ่าเจ้าของก็คืบคลานไป แล้วก็ดึงสายบาตรไปด้วย กลดก็ดึงไปไว้ที่พอเอื้อมถึง พอบืนไปได้ก็ลากบาตรไปด้วย ลากกลดไปด้วย แล้วก็ดึงจีวรไปด้วย บืนไปอยู่อย่างนั้นแหละยากแสนยาก พยายามบึกบึนกันอยู่นั้นเป็นเวลานาน พอดีเจ้าของก็พ้นไปได้ เดี๋ยวก็ค่อยดึงบาตรไป บาตรก็พ้นไปได้ แล้วก็ดึงกลดไป กลดก็พ้นไปได้ พยายามดึงจีวรไปจีวรก็พ้นไปได้ พอพ้นไปได้หมดแล้วก็ครองผ้า มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน ครองจีวรแล้วก็สะพายบาตร นึกในใจว่าเราไปได้ละที่นี่ ก็ไปตามด่านนั้นแหละ ทางรกมาก พอไปประมาณสัก ๑ เส้นเท่านั้น สะพายบาตร แบกกลด ครองจีวรไป

ตามองไปข้างหน้าเป็นที่เวิ้งว้างหมด คือข้างหน้ามันเป็นมหาสมุทร มองไปฝั่งโน้นไม่มี เห็นแต่ฝั่งที่เจ้าของยืนอยู่เท่านั้น และมองเห็นเกาะหนึ่งอยู่โน้นไกลมาก มองสุดสายตาพอมองเห็นเป็นเกาะดำๆ นี่แหละ นี่เราจะไปเกาะนั้น พอเดินลงไปฝั่งนั้นเรือไม่ทราบมาจากไหน เราก็ไม่ได้กำหนดว่าเรือยนต์เรือแจวเรือพายอะไร เรือมาเทียบฝั่ง เราก็ขึ้นนั่งเรือ คนขับเรือเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเรา พอลงไปนั่งเรือแล้วก็เอาบาตรเอาอะไรลงวางบนเรือ เรือก็บึ่งพาไปโน้นเลยนะโดยไม่ต้องบอก มันอะไรก็ไม่ทราบ บึ่งๆๆ ไปโน้นเลย ไม่รู้สึกว่ามีภัยมีอันตรายมีคลื่นอะไรทั้งนั้นแหละ ไปแบบเงียบๆ ครู่เดียวเท่านั้นก็ถึงเพราะเป็นความฝันนี่

พอไปถึงเกาะนั้นแล้ว เราก็ขนของออกจากเรือแล้วขึ้นบนฝั่ง เรือก็หายไปเลยไม่ได้พูดกันสักคำเดียวกับคนขับเรือ เราก็สะพายบาตรขึ้นไปบนเกาะนั้น พอปีนเขาขึ้นไปๆ ก็ไปเห็นท่านอาจารย์มั่นกำลังนั่งอยู่บนเขาบนเตียงเล็กๆ กำลังนั่งตำหมากจ๊อกๆ อยู่ พร้อมกับมองมาดูเราที่กำลังปีนเขาขึ้นไปหาท่าน อ้าว ท่านมหามาได้ยังไงนี่ ทางสายนี้ใครมาได้เมื่อไหร่ ท่านมหามาได้ยังไงกัน กระผมนั่งเรือมา ขึ้นเรือมา โอ้โฮ ทางนี้มันมายากนา ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยงตายมากันหรอก เอ้า ถ้าอย่างนั้นตำหมากให้หน่อย ท่านก็ยื่นตะบันหมากให้ เราก็ตำจ๊อกๆๆ ได้ ๒-๓ จ๊อก เลยรู้สึกตัวตื่น แหม เสียใจมาก อยากจะฝันต่อไปอีกให้จบเรื่องก่อนค่อยตื่นก็ยังดี

พอตื่นเช้ามาก็เลยไปเล่าความฝันให้ท่านฟัง ท่านพูดทำนายได้ดีมาก เอ้อ ที่ฝันนี้เป็นมงคลอย่างยิ่งแล้วนะ นี้เป็นแบบเป็นฉบับในปฏิปทาของท่านไม่เคลื่อนคลาดนะ ให้ท่านดำเนินตามปฏิปทาที่ท่านฝันนี้ เบื้องต้นจะยากลำบากที่สุดนะ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านต้องเอาให้ดี ท่านอย่าท้อถอย เบื้องต้นนี้ลำบาก ดูท่านลอดกอไผ่มาทั้งกอ นั่นแหละลำบากมากตรงนั้น เอาให้ดีอย่าถอยหลังเป็นอันขาด พอพ้นจากนั้นไปแล้วก็เวิ้งว้างไปได้สบายจนถึงเกาะ ท่านว่าอย่างนั้น อันนั้นไม่ยาก ตรงนี่ตรงยากนา

พระอาจารย์หลวงตามหาบัว
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 01:06:47 PM »




หลวงปู่แหวนของเรา ธรรมดาท่านก็ไม่เคยไปจับไปต้องเงินทอง เขาถวายมาเท่าไรมีคนจับคนจ่ายเก็บไว้เรียบร้อยเหมือนพระทั้งหลายไม่จับเงินจับทอง มาถวายท่านก็เหมือนกัน บทเวลาท่านจะทำ นี่ท่านพลิกออกมาเฉยๆ จะว่าท่านทำผิดในจิตใจไม่มี อยู่ๆ ท่านก็ไปเอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ จุดไฟขึ้นสูบปุ๊บๆ เลย

“โห หลวงพ่อสูบอันนี้มันธนบัตรนะ นี่เงินนะใบละ ๕๐๐ นะ” ท่านก็ “เหอ” ท่านก็รู้อยู่แล้ว “นี่ธนบัตรนะที่มวนบุหรี่สูบอยู่นี่น่ะ” “เหอ ท่านก็ทำท่าดู ประสากระดาษ” ท่านก็ว่า หายเงียบไปเลย นี้จะไปว่าท่านผิดไม่ได้นะ คือท่านพลิกกิริยาจากสมมุติที่ยอมรับกัน มาเป็นกิริยาที่ขวางสมมุติ คือยอมรับ ความเป็นพระไม่ยอมรับกัน แต่ท่านก็เอามาใช้ชั่วขณะ จะว่าท่านเป็นบาปว่าไม่ได้นะ ท่านพลิกกิริยานั้นออกมาพอให้จับได้เท่านั้นละ ทำได้แต่ไม่เป็นอาบัติ ไม่เป็นโทษ เพราะจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว กิริยาของขันธ์พลิกมาเพียงเท่านี้แล้วก็กลับไปตามเดิม

จากนั้นท่านก็ไม่ทำอีก ท่านไม่ได้เอาธนบัตรมามวนบุหรี่สูบเรื่อยๆ นะ ท่านก็ทำเท่านั้นแหละ จากนั้นท่านก็ปฏิบัติเหมือนที่เคยปฏิบัติมา เราจะว่าท่านเป็นอาบัติไม่ได้นะ ยุติหมดโดยสิ้นเชิง อันนี้เป็นสมมุติทั้งมวล ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุติมานาน บทเวลาท่านจะพลิกท่านก็พลิกปั๊บอย่างนั้น เอาธนบัตรใบละ ๕๐๐ มามวนบุหรี่ตัวใหญ่ๆ สูบ ปุ๊บๆ สบายเลย ทีนี้เมื่อมีพระลูกพระหลานมาว่าท่าน “นี่หลวงปู่เอาธนบัตรมามวนบุหรี่สูบนะ” ท่านก็ว่า “เหอ” ท่านก็ทำท่าดู ท่านรู้แล้วท่านทำท่าดู “ประสากระดาษ” ท่านว่า ท่านก็สูบสบายไปเลย แน่ะก็อย่างนั้น จะไปว่าท่านผิดไม่ได้นะ

นี่แหละท่านพลิก กิริยาที่พระทั้งหลายยอมรับเป็นความผิด ก็ผิดแต่กิริยานี้เท่านั้น ใจท่านหมดโดยสิ้นเชิง จากนั้นท่านก็ปฏิบัติตามเดิม ก็ไม่เห็นมีอะไร เพราะใจท่านหมดโดยสิ้นเชิง ธรรมชาตินั้นเรียกว่าหมด กิริยาของขันธ์ที่แสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เข้ากระเทือนถึงจิตใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วได้เลย แต่ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุติที่มีอยู่ ธาตุขันธ์ของท่านที่มีอยู่ กิริยาอาการความเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน การอยู่การกิน การขบการฉัน ท่านก็ปฏิบัติตามเพศของท่านซึ่งเป็นพระ ท่านไม่ฝ่าฝืน บทเวลาท่านจะพลิกก็พลิกอย่างนั้น พอให้เข้าใจกันบ้างเท่านั้นเอง ท่านไม่ได้ทำตลอดไป ไม่ใช่ว่าจะมีไปอย่างเดียวทีเดียว มีแยกมีแยะอย่างนั้น

จิตนี่เมื่อหลุดพ้นแล้วมันพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีคำว่าผิดว่าถูกเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย คือเลยหมดแล้ว ความผิดความถูกอยู่ในแดนสมมุติ คำว่าบุญว่าบาปอยู่ในแดนสมมุติ ทีนี้เวลาพ้นไปแล้วท่านจึงว่าท่านผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว พ้นไปหมด บุญไม่มาเกี่ยวข้อง บาปไม่มาเกี่ยวข้อง ผ่านไปหมดแล้ว อย่างนั้นจึงเรียกว่าผู้มีบุญและบาปอันละแล้ว เป็นวิมุตติแล้ว บุญบาปนี่เป็นสมมุติ เวลาดำเนินอยู่ก็ต้องอาศัยบุญ อาศัยความดีงามหนุนขึ้นๆ เหมือนขึ้นบันได พอถึงบ้านแล้วบันไดกับบ้านแม้จะติดกันอยู่มันก็เป็นบันได มันก็เป็นบ้าน คนละสัดละส่วนอยู่โดยดี

กิริยาแห่งบุญแห่งกรรมทั้งหลายก็เป็นเพียงสักแต่ว่ากิริยา แต่จิตใจนั้นพอทุกอย่างแล้ว ท่านไม่เอาอะไร จิตลงถึงขั้นเป็นอรหันต์แล้วพอทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลย สามแดนโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งหมด จิตปล่อยวางโดยสิ้นเชิง อาศัยไปเพียงเท่านั้นเอง ที่จะให้ยึดให้เกาะว่าอันนั้นบกพร่องอันนี้ขาดเขินไม่มีในจิตดวงนั้น จึงเรียกว่าพออย่างเลิศเลอ พอก็พอนอกสมมุติไปเสีย ไม่ใช่พอธรรมดา เหมือนเรารับประทานอาหารตอนเช้านี้พอ พอตกบ่ายมาหิวอีกแล้ว ส่วนจิตอันนี้พอแล้วพอตลอด ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง พอตลอดไปเลย

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กิริยาที่ขวางสมมุติ
๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๗
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: มีนาคม 24, 2013, 09:20:49 AM »



เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐ องค์หลวงตารับนิมนต์ไปจำวัดที่จังหวัดร้อยเอ็ด
เนื่องในงานก่อเจดีย์มหามงคลบัว ท่านได้เมตตาเล่านิมิตความฝันอัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นในคืนนั้น ดังนี้


“...มันแปลกประหลาดยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวานได้พูดอยู่ ได้สองสามคืนผ่านมานี้ มันแปลก
ไม่ใช่นั่งภาวนานะ เราหลับ (ตอนกลางคืนวันที่ ๕ พฤษภาคม) ปรากฏว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน
ฝันนะไม่ใช่นั่งภาวนา เรานอนหลับฝัน ฝันว่าท้าวสักกเทวราชลงมา เป็นหัวหน้บริษัทบริวารลงมา
คำฝันมันชัดเจนมากนะ แต่ฝันไม่ใช่ภาวนา
มาขอฟันเราไปกราบไหว้บูชา ให้ทวยเทพทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา นี่คำฝันนะ
ถ้าคำฝันโกหกเราก็โกหกด้วย เพราะฝันอย่างนั้นจริงๆ ถึงท้าวสักกเทวราช

แต่ในใจของเราก็ปลงใจให้นะปลงใจให้ฟัน มันมีฟันอันหนึ่งที่มันโยกคลอนอยู่ยังไม่ถอน ปล่อยมันไว้นั้นละ
พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน เราในความรู้สึกในความฝันว่าได้ปลงใจให้ท้าวสักกเทวราช
ฟันซี่นี้นะ พอตื่นเช้ามาฟันนี้หายเลย อันนี้เราก็อัศจรรย์เหมือนกัน ฟันที่ว่านี้มันโยกคลอนหายเลย
ไม่ทราบหายไปไหน หลังจากฝันมาแล้วหายเลย นี่เป็นเองนะ เราเป็นเอง ..

จะปล่อยให้มันหลุดเองเราว่างั้น พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอไป คำฝันก็สดๆ ร้อนๆ พอตื่นขึ้นมาฟันหาย หายจริงๆ
มันก็แปลกนะ เป็นจริงๆ ก็มันเป็นกับเราเอง เราไม่ได้โกหกใคร โฮ้ เป็นอย่างนี้ก็เป็น
พอตื่นนอนขึ้นมาฟันนี้หายแล้วไม่ทราบหายไปไหนคงเป็นท้าวสักกเทวราชเอาไป
เอ้า ผิดก็ผิด ผิดในคำฝันเป็นอะไรไป เราไม่ได้โกหก มันฝันว่างั้นเราก็พูดตามความฝัน
พอท้าวสักกเทวราชมาขอฟันเราปลงใจให้นะ พอตื่นนอนขึ้นมาฟันซี่นี้หายเลย
ที่มันโยกคลอนหาย หายเงียบเลย ได้สองสามวันนี้ เอ้อ อันนี้ก็แปลกอยู่
.. ปรากฏมาจริงๆ คล้ายกับภาวนา .. ตกลงฟันเราก็หายแต่คืนนั้นละหายเงียบเลย
ไม่ทราบไปไหน คำฝันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็พูดอย่างนั้น

ท้าวสักกเทวราชว่าถ้าให้มนุษย์มันยุ่ง .. แล้วตื่นขึ้นมาฟันหายเลย หายจริงๆ
ก็พอดีกับที่เราปลงใจให้นะ ในคำฝันว่าปลงใจให้ พอตื่นขึ้นมาฟันซี่นั้นหายเลยมันโยกคลอนเราปล่อยให้มันหลุดเอง
ถ้าจะไปถอนมันเกิดเรื่อง ให้มันหลุดเองเราก็เก็บไว้เลย เราคิดว่างั้น
พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอเลยหายเงียบไปเลยนี่ก็ดี เอ้อ มันมีหลายแบบนะ ..เอ แปลกอยู่…”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๘๐๒
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: มีนาคม 25, 2013, 05:59:54 PM »



ระยะนั้นเป็นพรรษาที่ ๑๖ ในชีวิตการบวชของท่านและเป็นปีที่ ๙ แห่งการออกปฏิบัติกรรมฐาน
บนเขาลูกนี้ของคืนเดือนดับแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันจันทร์ที่๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓

ด้วยความอดทนพากเพียรพยายามติดต่อสืบเนื่องตลอดมานับแต่เริ่มออกปฏิบัติอย่างเต็มเหนี่ยวรวมเวลาถึง ๙ ปีเต็ม คืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจของท่านก็สามารถตัดสินกันลงได้ในเวลา ๕ ทุ่มตรง ดังนี

“…ก็พิจารณาจิตอันเดียว ไม่ได้กว้างขวางอะไร เพราะสิ่งต่างๆ ที่เป็นส่วนหยาบมันรู้หมด รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั่วโลกธาตุมันรู้หมดเข้าใจหมดและปล่อยวางหมดแล้ว มันไม่สนใจพิจารณาแม้แต่รูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ยังไม่ยอมสนใจพิจารณาเลยมันสนใจอยู่เฉพาะความรู้ที่เด่นดวงกับเวทนาส่วนละเอียดภายในจิตเท่านั้น สติปัญญาสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับอันนี้ พิจารณาไปพิจารณามา แต่ก็พึงทราบว่าจุดที่ว่านี้มันยังเป็นสมมุติมันจะสง่าผ่าเผยขนาดไหนก็สง่าผ่าเผยอยู่ในวงสมมุติ จะสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหนก็สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ในวงสมมุติ เพราะอวิชชายังมีอยู่ในนั้นอวิชชา นั้นแลคือ ตัวสมมุติ จุดแห่งความเด่นดวงนั้นก็แสดงอาการลุ่มๆ ดอนๆตามขั้นแห่งความละเอียดของจิตให้เราเห็นจนได้ บางทีก็มีลักษณะเศร้าหมองบ้างผ่องใสบ้าง ทุกข์บ้างสุขบ้าง ตามขั้นละเอียดของจิตภูมินี้ให้ปรากฏพอจับพิรุธได้อยู่นั่นแล

สติปัญญาขั้นนี้เป็นองครักษ์รักษาจิตดวงนี้อย่างเข้มงวด
กวดขัน แทนที่มันจะจ่อกระบอกปืนคือสติปัญญาเข้ามาที่นี่ มันไม่จ่อ มันส่งไปที่อวิชชาหลอกไปโน้นจนได้
อวิชชานี้แหลมคมมาก ไม่มีอะไรแหลมคมมากยิ่งกว่าอวิชชาซึ่งเป็นจุดสุดท้ายว่า ความโลภมันก็หยาบๆ
พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย แต่โลกยังพอใจกันโลภ คิดดูซิ
ความโกรธก็หยาบๆ โลกยังพอใจโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความเกลียด ความโกรธอะไร เป็นขอหยาบๆ พอเข้าใจและเห็นโทษได้ง่าย โลกยังพอใจกัน อันนี้ไม่ใช่สิ่งเหล่านั้น มันเลยมาหมปล่อยมาได้หมด แต่ทำไมมันยังมาติดความสว่างไสว ความอัศจรรย์อันนี้ ทีนี้ อันนี้เมื่อมันมีอยู่ภายในนี้ มันจะแสดงความอับเฉาขึ้นมานิดๆ แสดงความทุกข์ขึ้นมานิดๆ ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ไม่คงเส้นคงวาให้จับได้ด้วยสติปัญญาที่จดจ่อต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลาไม่ลดละความพยายามอยากรู้อยากเห็นความเป็นต่างๆ ของจิตดวงนี้ สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ต้องรู้กันจนได้ว่า จิตดวงนี้ไม่เป็นที่แน่ใจตายใจได้ จึงเกิดความรำพึงขึ้นมาว่า

‘จิตดวงเดียวนี้ ทำไมจึงเป็นไปได้หลายอย่างนักนะ เดี๋ยวเป็นความเศร้าหมอง
เดี๋ยวเป็นความผ่องใส เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ไม่คงที่ดีงามอยู่ได้ตลอดไปทำไจิตละเอียดถึงขนาดนี้แล้ว
จึงยังแสดงอาการต่างๆ อยู่ได้’

พอสติปัญญาเริ่มหันความสนใจเข้ามาพิจารณาจิตดวงนี้ ความรู้ชนิดหนึ่งที่ไม่คาดไม่ฝันก็ผุดขึ้นมาภายในใจว่า

‘ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดีความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งสิ้น และเป็นอนัตตาทั้งมวลนะ’

เท่านั้นแล สติปัญญาก็หยั่งทราบจิตที่ถูก อวิชชาครอบงำอยู่นั้นว่า เป็นสมมุติที่ควรปล่อยวางโดยถ่ายเดียว
ไม่ควรยึดถือเอาไว้หลังจากความรู้ที่ผุดขึ้นบอกเตือนสติปัญญาผู้ทำหน้าที่ตรวจตราอยู่ขณะนั้นผ่านไปครู่เดียว
จิตและสติปัญญาเป็นราวกับว่าต่างวางตัวเป็นอุเบกขามัธยัสถ์ ไม่กระเพื่อมตัวทำหน้าที่ใดๆ ในขณะนั้นจิตเป็นกลางๆ
ไม่จดจ่อกับอะไร ไม่เผลอส่งใจไปไหน ปัญญาก็ไม่ทำงาน สติก็รู้อยู่ธรรมดาของตนไม่จดจ่อกับสิ่งใด

ขณะจิต สติ ปัญญา ทั้งสามเป็นอุเบกขามัธยัสถ์นั้นแล เป็นขณะที่โลกธาตุภายในจิตอันมีอวิชชาเป็นผู้เรืองอำนาจได้กระเทือน
และขาดสะบั้นบรรลัยลงจากบัลลังก์คือใจ กลายเป็น วิสุทธิจิต ขึ้นมาแทนที่ ในขณะเดียวกัน
กับอวิชชาขาดสะบั้นหั่นแหลกแตกกระจายหายซากลงไปด้วยอำนาจสติปัญญาที่เกรียงไกรขณะที่ฟ้าดินถล่มโลกธาตุหวั่นไหว(โลกธาตุภายใน) แสดงมหัศจรรย์บั้นสุดท้ายปลายแดนระหว่างสมมุติกับวิมุตติตัดสินความบนศาล
สถิตยุติธรรม โดยวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผู้ตัดสินคู่ความ โดยฝ่ายมัชฌิมาปฏิปทา
มรรคอริยสัจเป็นฝ่ายชนะโดยสิ้นเชิง ฝ่ายสมุทัยอริยสัจเป็นฝ่ายแพ้น็อคแบบหามลงเปล ไม่มีทางฟื้นตัวตลอดอนันตกาลสิ้นสุดลงแล้ว
เจ้าตัวเกิดความอัศจรรย์ล้นโลก อุทานออกมาว่า

‘โอ้โหๆ .. อัศจรรย์หนอๆ แต่ก่อนธรรมนี้อยู่ที่ไหนๆ มาบัดนี้ธรรมแท้ ธรรมอัศจรรย์เกินคาดเกินโลก
มาเป็นอยู่ที่จิตและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตได้อย่างไร..
และแต่ก่อนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกอยู่ที่ไหน?
มาบัดนี้องค์สรณะที่แสนอัศจรรย์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตดวงนี้ได้อย่างไร..

โอ้โห! ธรรมะแท้ พุทธะแท้ สังฆะแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ’...”

จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์หน้า ๒๕๙
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: มีนาคม 30, 2013, 08:14:10 AM »



“...เราพูดจริงๆ จะขายโง่ขายความฉลาด ขายเลวขายดีก็แล้วแต่เถอะ
ก็ภาวนาอยู่ทุกคืน เราภาวนาอยู่อย่างนั้น จากนั้นเมตตาจิตทั่วไปหมด

เมื่อคืนนี้ .. มันขึ้นขึ้นอะไร ห่วงโลกห่วงสงสารแล้วก็ย่นเข้ามาๆ เข้ามาถึงจุดเมืองไทยเรา
ทีนี้เกิดความสงสาร ขึ้นมา เกี่ยวกับเรื่องเมืองไทยเรานี้ติดหนี้ติดสิน เมืองนอก ..

ทำยังไงกัน .. .. การติดหนี้เป็นทุกข์นะ ทุกข์ที่สุดเลย ในธรรม ท่านก็บอก
ความติดหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก ความไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านก็บอกไว้มีในธรรมในบาลี

"อิณาทานัง ทุกขังโลเก ความติดหนี้เป็นทุกข์มากในโลก ความ ไม่มีหนี้มีสินเป็นสุขมากในโลก ท่านแสดงไว้...”

องค์หลวงตาเล่า นิมิตภาวนาให้ฟังว่า

ปกติทุกคืนท่านเข้สมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิตแก่สรรพสัตวทั้งมวล อำนาจของจิตแผ่ไปไม่มีประมาณในสามแดนโลกธาตุ
คืนหนึ่งจิตของท่านย่นเข้ามาสะดุดกึ๊กอยู่ที่จุดเมืองไทยของเรา เกิดความห่วงโลกห่วงสงสารประเทศชาติบ้านเมืองถึงขั้นจะล่มจะจมในนิมิตภาวนานั้นปรากฏว่า ชาติไทยมีแต่ความมืดดำปกคลุมมืดครึ้มไปหมด ในจิตอ่อนนิ่มแผ่เมตตาไปทางใดประหนึ่งว่าจะหมดหวัง ทั้งๆ ที ก่อนนี้ไม่เคยมีอะไรขวางกั้นทางเดินแห่งจิตที่เมตตาครอบ โลกธาตุนี้ได้เลย แม้พิจารณาแผ่เมตตา ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ก็เป็นเช่นนั้น

จึงกำหนดจิตพิจารณา หาผู้ใดจะมาช่วยแบ่งเบาภาระและจุดประกายให้แสงสว่างแก่ประเทศชาติที่ดำมืดครื้มนั้นก็ไม่เห็นมี ประหนึ่งว่า “หมดหวังแล้วหนอ!” ชาติบ้านเมืองคราวนี้ ถึงคราวที่จะสูญสลายสิ้นชาติและพระพุทธศาสนาที่ให้ความร่มเย็นแก่โลกมาเป็นเวลานาน มองไปช่องทางใดก็มีแต่ทางคับแคบตีบตัน กว้างก็กว้างเพื่อตีบตัน

เมื่อไม่เห็นมีผู้ใดที่พอจะช่วยได้แล้ว จึงกำหนดจิตย้อนเข้ามาภายในตน
.. ปรากฏว่าเห็นเป็นแสงสว่างเพียงหิ่งห้อย จึงกำหนดจิตเข้าไปตามลำแสงอันน้อยนิดนั้น
แม้จะเป็นช่องแคบๆ ก็จริงแต่เมื่อกำหนดดูปรากฏว่าทะลุไปได้ พิจารณาดูแล้วแสงเพียงหิ่งห้อยนั้น ก็คือตัวท่านเอง
นอกจากนี้ ท่านยังกล่าวด้วยว่า การออกมาช่วยชาติในคราวนี้ของท่านจะมีอยู่ ๒ ทาง คือ
๑. จะเป็นทางบุญนำประชาชนไปสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน
๒. จะเป็นทางบาปไปนรกสำหรับผู้ไม่เห็นด้วย ไม่อนุโมทนา แต่คิดจ้องทำลาย ลบหลู่ เหยียบย่ำ สกัดกั้นการช่วยชาติ

นิมิตภาวนาในครั้งนี้ถึงกับทำให้ท่านร้อง “โก้ก” และ
ออกประกาศเลยว่า

“ถ้าหลวงตาบัวยังไม่ตาย เมืองเรายังจมไม่ได้ นี่คือกำลังใจของเรา
มันพยายามแหวกว่ายเอาให้ได้ ส่วนร่างกายไม่ต้องพูดถึงเลย มันหมดสภาพแล้ว
ที่อยู่ได้ก็เพราะกำลังใจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นหลวงตาตายแล้ว”


จากหนังสือญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ หน้า ๕๙๘
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 08:09:59 PM »



"..นี่เรียกว่าวันสงกรานต์ วันลดทิฐิมานะเข้าสู่กัน เป็นเพื่อนสนิทสนมกันคือวันเช่นนี้วันสงกรานต์
ไม่ให้มีถือสีถือสากัน อะไรๆ ให้เป็นกันเองไปหมดเลย จึงเรียกว่าวันสงกรานต์
วันให้อิสรภาพความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงเสมอหน้ากันไปหมด ให้พากันจำเอา

ผู้ที่ไม่ไปสงกรานต์กับเขาก็ให้ภาวนา อย่าลืมนะภาวนา ภาวนานี่เป็นสงกรานต์สาดน้ำใส่กิเลส
กิเลสมันสกปรกมากในหัวใจของเรา วันนี้เป็นวันสงกรานต์สาดน้ำใส่กิเลสนะ
อย่าให้กิเลสสาดมูตรสาดคูถใส่หัวเรา ฉิบหายเลย ถ้ากิเลสได้สาดมูตรสาดคูถ
ความขี้เกียจขี้คร้านภาวนา นี่ละไอ้ตัวกิเลสตัวนี้มันมาสาดใส่หัวเรา ให้ระวังให้ดี วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
แสดงธรรมเมื่อ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
golfreeze
ขอนอบน้อมในธรรมของ องค์พระพุทธเจ้า
Administrator
สุดยอดกัลยาณมิตร
*****

ได้รับการอนุโมทนาบุญ : 67
กระทู้: 3604


golfreeze@packetlove.com
ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤษภาคม 29, 2013, 09:35:00 PM »



ท่านสอนไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่าใครจะอยู่ใกล้อยู่ไกลที่ไหน ประเทศใดเมืองใดก็ตาม
เวลาตายแล้วจะต้องกลับเข้าไปถึงบ้านถึงเรือน ถึงพี่น้องพ่อแม่ญาติมิตรของตนเป็นลำดับลำดา
ถ้าไม่ถูกกรรมหนักบังคับให้ไปตกนรกเสียก่อน มีช่องทางที่จะไปหาญาติหาวงศ์ของตนได้ทุกแห่งทุกหน
 โดยไม่มีคำว่าหลงทาง นี่คือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว แล้วกลับเข้ามาในบ้านญาติมิตรของตน
ตายที่ไหนก็มาหาญาติหามิตร เพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศลจากพ่อแม่พี่น้องที่เคยเป็นพ่อเป็นแม่มาดั้งเดิม
 ในเวลาตายแล้วก็ต้องย้อนกลับมา

ท่านบอกไว้ใน ติโรกุฑฑกัณฑสูตร ว่า เข้ามาแอบอยู่ตามข้างบ้านข้างเรือนบ้าง เข้ามาอยู่ข้างฝาเรือนบ้าง
เข้ามาอยู่ทุกซอกทุกมุมในบ้านเรือนของญาติของมิตร ของพ่อของแม่บ้าง แต่เวลาพ่อแม่พี่น้องซึ่งเคยอยู่ร่วมกันในเวลามีชีวิตอยู่
รับประทานด้วยกัน มีอะไรถึงกันหมดนั้น พอตายไปแล้วเท่านั้น กลับมาก็มาแอบดูพ่อดูแม่
ดูญาติดูวงศ์ที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่ในนั้น ไม่สามารถที่จะรับได้
เพราะไม่ใช่วิสัยของเปรตผีกับมนุษย์ที่จะมาร่วมกินร่วมอยู่ด้วยกันได้เช่นนั้น
ถ้าหากว่าญาติมิตรมีความรู้สึกเป็นห่วงใยในผู้ล้มผู้ตายที่จากไปนั้น ได้ทำบุญทำกุศล
อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่บรรดาเปรตทั้งหลายที่มานั้น เปรตเหล่านั้นก็ได้รับส่วนบุญส่วนกุศล
ก่อนจะจากไปก็อนุโมทนาสาธุการแก่ญาติมิตรของตน
แล้วไปสวรรค์ได้เพราะอำนาจแห่งส่วนกุศลที่หนุนท่านเหล่านั้นให้พ้นทุกข์ในความเป็นเปรตเสียได้ นี่ท่านแสดงไว้อย่างนี้

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศนาธรรมเรื่อง"ตายแล้วย้อนกลับมาบ้านเรือน"
๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๖

ขอเชิญทุกๆท่านร่วมทำบุญวันเปิดโลกธาตุรำลึกถึงองค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
ในวันพรุ่งนี้ 30 พ.ค. 56 ที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานีค่ะ



ขอบพระคุณข้อมูลจาก FB คุณ supani ครับผม
บันทึกการเข้า

เกิดเป็นมนุษย์ทั้งที อย่าให้ย้ำอยู่ที่เดิม หาทางปฏิบัติเจริญปัญญา เพื่อเดินไปข้างหน้า เพื่อบรมสุขตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เที่ยวอุบล | ทัวร์พม่า | JR Pass
หน้า: 1 [2] 3 4 5
พิมพ์
กระโดดไป: