แสดงกระทู้
หน้า: 1 ... 238 239 [240] 241 242
3586  การปฏิบัติของผู้ที่ได้ ฌาณ / ประสบการณ์ของผู้ที่ได้ไปสวรรค์ / Re: สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ เมื่อ: ตุลาคม 28, 2007, 08:39:32 PM
ไม่ใช่สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจนะครับท่าน, เป็นเป็นภพภูมิที่มีอยู่จริง โลกก็เป็นส่วนหนึ่งของภพภูมิ การเทศน์ที่พยายามอธิบายเรื่องนี้ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีบันทึกในพระไตรปิฏกแล้ว
ผมบังเอิญไปเจอมา อยากอ่าน mail มา, จะส่งไปให้

สวัสดีครับคุณ top ยินดีที่ได้รู้จัก น่ะครับ
3587  การปฏิบัติของผู้ที่ได้ ฌาณ / ประสบการณ์ของผู้ที่ได้ไปสวรรค์ / สวรรค์แต่ล่ะชั้น 6 ชั้น เมื่อ: ตุลาคม 18, 2007, 01:41:34 PM
สวรรค์   ชั้นที่1จาตุมหาราชิกา
   เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาล สวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็น4เมืองคือ
      1 เมืองของกุมภัณฑ์  มีท้าววิรุฬหกปกครอง
      2 เมืองของนาค  มีท้าววิรูปักษ์ปกครอง
      3 เมืองของยักษ์   มีท้าวเวสสุวันปกครอง
      4 เมืองของคนธรรพ์  มีท้าวธตรฐปกครอง

  ชั้นที่2 ชั้นดาวดึงส์  เป็นของพระอินทร์  มีพระจุฬามณีเจดีย์อยู่

 ชั้นที่3  ชั้นยามา  มีพระสยามเทวาธิราชอยู่
 
  ชั้นที่4  ชั้นดุสิต  ชั้นที่วุ่นวายที่สุด  เพราะพระโพธิสัตว์ที่จะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าจะอยู่ชั้นนี้
 
  ชั้นที่5   นิมมานรตี ไม่มีอะไรดังครับ
 
  ชั้นที่6   ปรนิม มิต สวัสตี แบ่งเป็น2เมืองคือ เมืองเทพและเมืองมาร  เมืองมารจะมีพระยาวัสวัสตีมารอยู่  คือมารที่มาผจญพระพุทธเจ้านั่นแหละ  แต่ตอนนี้ท่านกลับใจแล้ว  และที่สำคัญ ท่านปรารถนาพุทธภูมิด้วย [ เรื่องมันยาว ]



ชั้นพรหม  ชั้นต่อจากนี้ไม่มีผู้หญิงครับและผู้ที่จะมาได้ต้องสำเร็จฌาณ
   พรหมโลกชั้นที่1 ชื่อ  พรหมปริสัชชา
ชั้นที่2 ชื่อ พรหมปุโรหิตา
ชั้นที่3ชื่อ  มหาพรหมา
ชั้นที่4 ชื่อ ปะริตตาภา
ชั้นที่5 ชื่อ  อัปปมานาภา
ชั้นที่6 ชื่อ  อาภัสสรา
ชั้นที่7 ชื่อ  ปริตตสุภา
ชั้นที่8 ชื่อ  อัปปะมานะสุภา
ชั้นที่9 ชื่อ  สุภะกิณหกา
ชั้นที่10 ชื่อ  เวหัปผลา
ชั้นที่11 ชื่อ  อะสัญญี
ชั้นที่12 ชื่อ อวิหา
ชั้นที่13 ชื่อ  อตปปา
ชั้นที่14 ชื่อ สุทัสสา
ชั้นที่15ชื่อ  สุทัสสี
ชั้นที่16 ชื่อ อกนิฏฐา
ต่อจากนี้มีอรูปพรหมอีก4ชั้นเป็นอันสิ้นสุดครับ
3588  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สมาธิมีกี่แบบ เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 08:54:04 PM
ประเภทของสมาธิ
2. มิจฉาสมาธิ

มิจฉาสมาธิ โดยความหมายที่ตรงข้ามกับสัมมาสมาธินั้น ก็หมายถึงการตั้งมั่นจิตที่ไม่ชอบ หรือ การที่จิตตั้งมั่นสมาธิและประเภทการวางใจในสิ่งที่ผิด ซึ่งในพระไตรปิฎ1 ได้อธิบายว่าที่ชื่อว่า มิจฉาสมาธิ เพราะตั้งมั่นตามความไม่เป็นจริง ดังนั้น มิจฉาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสัมมาสมาธิ นั่นคือ มิจฉาสมาธิจะทำให้จิตซัดส่าย ฟุ้งซ่าน เป็นสภาพจิตที่

ส่งออกนอกเพื่อไปมีความพอใจในกามคุณ 5 อย่าง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งทำให้จิตระคนปนเจือไปด้วยความตรึกไปในกาม ดังนั้น มิจฉาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำให้กิเลสคือ โลภะ โทสะ และโมหะ เบาบางลงได้ และไม่ใช่หนทางที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ พระนิพพานได้ ทั้งนี้ในพระไตรปิฎกได้อธิบายไว้อีกว่า

มิจฉาสมาธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ
ไม่ ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ ความตั้งใจผิด ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า มิจฉาสมาธิมีในสมัยนั้น2

 

ดังนั้น การฝึกสมาธิ จึงต้องยึดปฏิบัติตามหลักสัมมาสมาธิ ด้วยการไม่ส่งใจไปเกาะเกี่ยวกับกามคุณ ไม่ปล่อยใจให้ซัดส่ายเพลิดเพลินใน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทางกาย โดยในทางตรงข้าม จะต้องน้อมใจให้อยู่ภายในกาย ให้ตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน หมั่นพิจารณาสภาวะที่ปรากฏตามความเป็นจริง พร้อมด้วยการละโทสะ โมหะ และโทสะ ที่เกิดขึ้นในใจของตน อันจะสามารถนำไปสู่ทางพ้นทุกข์ และจะทำให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาได้

 
ประเภทของสมาธิจำแนกตามการวางใจ

สมาธิสามารถจำแนกได้ตามวิธีการกำหนดวางที่ตั้งของใจ หรือแบ่งตามที่ตั้งของใจในขณะที่เจริญสมาธิ ได้ 3 ประเภท ดังนี้ คือ
1. ประเภทวางใจไว้นอกร่างกาย
2. ประเภทวางใจในตัวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
3. ประเภทวางใจไว้ในร่างกายที่ศูนย์กลางกาย
1. ประเภทวางใจไว้นอกร่างกาย

วิธีส่งจิตหรือใจออกข้างนอก เป็นวิธีที่ส่วนใหญ่ในโลกนี้ได้ใช้ฝึกกัน คือเอาใจส่งออกไปข้างนอกกาย เพราะเป็นวิธีการที่ง่าย เนื่องจากปกติคนส่วนใหญ่มักมีนิสัยชอบมองไปข้างนอก ดังนั้นการส่งจิตออกไปข้างนอกจึงสบาย ง่าย และทำได้กันเกือบจะทุกคน แต่ข้อเสียก็มี คือจะมีภาพนิมิตลวงเกิดขึ้นมา เป็นนิมิตเลื่อนลอยไม่ใช่ของจริงเกิดขึ้น บางนิมิตก็น่าเพลิดเพลิน
บางนิมิตเห็นแล้วก็น่าสะดุ้งหวาดเสียว ถ้าหากว่าได้ครูที่ไม่ชำนาญ ไม่มีประสบการณ์เป็นผู้แนะนำ จะทำให้จิตออกไปข้างนอก และเป็นสาเหตุที่ทำให้ได้ยินบ่อยครั้งว่าการปฏิบัติธรรมฝึกจิตเป็นเหตุให้ เป็นบ้า ซึ่งที่จริงเกิดจากการวางใจไว้ผิดที่ โดยเอาออกไปสู่ข้างนอก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจึงผิดมากกว่าถูก เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ในโลกนี้ฝึกจิตด้วยวิธีการแบบนี้ ไม่ทางสู่ความพ้นทุกข์ ไม่เข้าถึงสรณะ เข้าไม่ถึงที่พึ่งที่ระลึกภายในตัว และเป็นโอกาสให้หลงตัวเอง พลาดพลั้ง และเดินผิดทางได้
2. ประเภทวางใจในตัวส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย

ประเภทที่ 2 จะเป็นการเอาใจมาไว้ข้างใน หรือคือการเอาความรู้สึกอยู่ภายในแล้วก็หยุดนิ่งเฉย ๆ ลอยๆ อยู่ภายในตัวของเราตามฐานต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่บริเวณทรวงอก แล้วหยุดนิ่งสงบ มีความเย็นกายเย็นใจเกิดขึ้น มีสติ มีปัญญา มีความรู้รอบตัวเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งการปฏิบัติด้วยวิธีที่สองนี้มีอยู่น้อยในโลก วิธีอย่างนี้ยังถือว่าถูกมากกว่าผิด เช่น ถ้าจิตฝึกฝนด้วยการปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ปล่อยให้สงบนิ่ง อยู่ภายในตัว จะทำให้รู้สึกมีความสุขอยู่ภายใน และการทำสมาธิแบบนี้จะทำให้มีความรู้สึกว่าเราไม่ติดอะไรเลย ไม่ยินดียินร้าย ปล่อยวางสงบ สว่างเย็น อยู่เฉยๆ อยู่ภายใน จะไม่ค่อยมีนิมิตเลื่อนลอยเกิดขึ้น เพราะว่าปล่อยวางหมด เอาแต่ความบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างเดียว ให้สงบเย็น ความรู้ต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นกว้างขวางกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังเข้าไปไม่ถึงการพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม จึงยังไม่ได้ชื่อว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ หรือหนทางพ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง
3. ประเภทวางใจไว้ในร่างกายที่ศูนย์กลางกาย

ประเภทที่ 3 เป็นการฝึกใจโดยการเอาใจมาหยุดนิ่งภายในกลางกาย หรืออยู่ที่ตรงฐานที่ 7 หยุดจนกระทั่งถูกส่วน แล้วเห็นปฐมมรรคเกิดขึ้นมาเป็นดวงสว่าง ได้ดำเนินจิตเข้าไปในทางนั้น กลางของกลางปรากฏการณ์นั้น เข้าไปเรื่อย ๆ โดยเอามรรคมีองค์แปดประการขึ้นมาเป็นเครื่องปฏิบัติ

ภาพแสดงที่ตั้งจิตทั้ง 7 ฐาน หรือศูนย์กลางกายฐานที่ 7

การวางใจเมื่อฝึกสมาธิ

(ภาพ ฐานการวางใจ)

คำว่า มรรค แปลว่าหนทาง หมายความว่าทางเดินของใจ ทางเดินของใจที่จะเข้าไปสู่ภายใน จนกระทั่งหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย โดยอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องกลั่นกรองใจ ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสขึ้นไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปถึงธรรมกายที่บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย


ตรงฐานที่ 7 ตรงนี้ที่เดียวจึงจะเห็นหนทาง แล้วก็ดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับจนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย สิ่งนี้คือหลักในทางพระพุทธศาสนา เป็นหลักของการสร้างความสุขให้กับชีวิตในโลก ใครอยากจะหลุดอยากจะพ้น ก็ต้องทำมรรคให้เกิดขึ้นมา แล้วก็ดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกาย

 

นอกจากนี้ถ้ากล่าวถึงวิธีการในการปฏิบัติสมาธิโดยละเอียดขึ้น จะพบวิธีที่ปรากฏอยู่ในตำราต่างๆ เช่น วิสุทธิมรรค ถึง 40 วิธี3 ซึ่งวิธีทั้ง 40 นั้น ต่างก็มีเป้าหมายอันเดียวกัน คือ การทำใจให้ถูกส่วนและเข้าถึงพระธรรมกายภายใน ถ้าหากว่าเรานำใจของเรามาตั้งไว้ตรงที่ฐานที่ ๗ แล้วก็เริ่มต้นอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการดังกล่าว จะเริ่มต้นจากกสิณ10 อสุภะ 10 อาหาเร ปฏิกูลสัญญา อนุสติ 10 หรืออะไรก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าใจหยุดถูกส่วนตรงฐานที่ 7 นี้แล้ว ดำเนินจิตให้เข้าสู่ภายใน และดำเนินจิตเข้าไปตามลำดับ ไม่ช้าก็จะพบธรรมกาย ซึ่งสิ่งนี้มีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน ไม่ใช่เป็นสิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วและสามารถเข้าถึงได้ทุกคนที่ปฏิบัติตามได้อย่าง ถูกวิธี


 
1 อัฏฐสาลินี อรรถกถาธรรมสังคณี เล่ม 76 หน้า 20 2 พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ อกุศลธรรม เล่ม 76 หน้า 15 3 ได้แก่ กสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 อาหาเร ปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุววัฏฐาน 1 พรหมวิหาร 4 อรูปฌาน 4
3589  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / Re: สมาธิมีกี่แบบ เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 08:49:52 PM
สัมมาสมาธิเป็นไฉน ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้า ถึงปฐมฌานมีวิตกวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอเข้าถึงทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป เข้าถึงตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข เธอเข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขและทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.1

จาก ความที่ยกนำมากล่าวนี้ แสดงว่าสัมมาสมาธิ จะมีความสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เมื่อเข้าถึงปฐมฌาน จนกระทั่งถึงจตุตถฌานแล้ว จะมีสภาวะที่ไม่สุข ไม่ทุกข์ และเป็นอุเบกขา จนมีสติบริสุทธิ์ นอกจากนี้ ในพระไตรปิฎกยังกล่าวถึงลักษณะของสัมมาสมาธิไว้ดังนี้

1.ลักษณะของสัมมาสมาธิคือการที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน2
2.สัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่นแห่งจิตโดยชอบเป็นลักษณะ3

 

ส่วนในพระอภิธรรมปิฎก4 ได้กล่าวถึงลักษณะของจิตที่เป็นสัมมาสมาธิว่า

สัมมาสมาธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ ความตั้งใจชอบ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัมมาสมาธิมีในสมัยนั้น.

 

จาก ลักษณะของสัมมาสมาธิที่กล่าวนี้ ในพระไตรปิฎกยังแสดงให้เห็นว่า สัมมาสมาธิมีคุณูปการแก่ผู้ฝึกหรือผู้ปฏิบัติ โดยเมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่านและมีความตั้งมั่นแห่งจิตแล้ว ย่อมขจัดมิจฉาสมาธิ ตลอดจนกิเลสได้ ดังความในพราหมณสูต5 กล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อีกตอนหนึ่งว่า

สัมมาสมาธิที่บุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว มีการกำจัดราคะเป็นที่สุด มีการกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีการกำจัดโมหะเป็นที่สุด.

จาก ความข้างต้น แสดงให้ทราบว่า สัมมาสมาธิสามารถขจัดมิจฉาสมาธิ ตลอดจนกิเลสและความฟุ้งซ่าน สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าสู่เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพานได้ ดังความในปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ กล่าวไว้ดังนี้

สัมมา สมาธิ (เมื่อเกิดขึ้น) ย่อมละมิจฉาสมาธิ กิเลสที่เป็นข้าศึกต่อสัมมาสมาธิและความฟุ้งซ่านนั้นได้ กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ และย่อมตั้งมั่นสัมปยุตธรรมทั้งหลายไว้โดยชอบ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า สัมมาสมาธิ.6

 

สรุปได้ว่า การจะฝึกสมาธินั้น บุคคลจะต้องยึดหลักการฝึกแบบสัมมาสมาธิ กล่าวคือ ฝึกเพื่อการทำให้ใจสงบ ระงับจากกาม ปราศจากอกุศลธรรมทั้งหลาย และไม่ฟุ้งซ่าน จนกระทั่งจิตตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย ก็จะสามารถทำให้การฝึกและปฏิบัติของบุคคลนั้น ถูกต้อง ตรงต่อพระพุทธธรรมคำสอน จนสามารถบรรลุถึงเป้าหมาย คือพระนิพพานได้ ทั้งนี้ การที่จะจิตจะไม่ฟุ้งซ่าน จิตจะต้องไม่คิดหรือตรึกในสิ่งที่จะทำให้จิตเกิดราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งในพระไตรปิฎก ได้กล่าวถึงลักษณะของจิตฟุ้งซ่านว่า จะมีลักษณะที่ซัดส่ายไปข้างนอก คือซัดส่ายไปในอารมณ์ คือกามคุณ ทำให้มีความพอใจในกามคุณ 5 อย่าง คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งทำให้จิตระคนปนเจือไปด้วยความตรึกไปในกาม7
3590  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / วิธีการทำ สมาธิ ขั้นตอน ควรเริ่มอย่างไร เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 08:04:10 PM
การทำสมาธิในพุทธศาสนา

การทำสมาธิ ตามหลักของพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ได้แสดงพระธรรมเทศนาไว้ถึง 40 วิธี ทุกวิธีล้วนเป็นไปเพื่อจุดหมายเดียว คือการทำให้ใจหยุดนิ่ง แต่ที่วิธีการมีเยอะนั้น เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นฐานนิสัยของแต่ละคน โดยพระพุทธองค์ทรงแบ่งพื้นฐานนิสัยไว้ 6 ประเภท เรียกว่า จริต 6 อาทิเช่น คนที่มีราคะจริต คือหลงไหลในของสวยงามง่าย ควรพิจารณาความไม่เที่ยง ความไม่แน่นอนในสังขารต่างๆ เพื่อให้ใจไม่ติดในราคะได้ง่าย จะได้ทำสมาธิได้ง่าย เพราะเมื่อหลับตาทำสมาธิแล้ว ใจเราชอบอะไร คุ้นอะไร ก็จะมีภาพนั้นปรากฏขึ้นมาในใจ

การทำสมาธิ ไม่ต้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถ้าต้องการความต่อเนื่องยาวนาน และให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีนั้น มีหลักการเบื้องต้นและขั้นตอนดังนี้

   1. อาบน้ำ อาบท่าให้เรียบร้อย เตรียมร่างกายให้สะอาด
   2. หามุมสงบ ไม่เสียงดัง ไม่อึกทึก ไม่มีการรบกวนจากภายนอกได้ง่าย มีอุณหภูมิพอดีๆ
   3. นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย
   4. หลับตาเบาๆ ให้ขนตาชนกัน แต่อย่าเม้มตา
   5. ขยับท่าทางให้รู้สึกว่าสบาย
   6. สังเกตตัวเองว่ามีการเกร็งไหม ถ้ายังมีให้ทำข้อ 5 ใหม่
   7. เมื่อสบายดีแล้ว ให้ภาวนาในใจ กำหนดลมหายใจเข้าออกเมื่อหายใจเข้าให้กำหนดลมหายใจ ว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดว่า โธ
   8. ทำใจให้โล่ง โปร่ง เบา สบาย
   9. ทำความรู้สึกว่า มีดวงแก้วอยู่ในท้อง เป็นดวงแก้วใส มีความสว่าง
  10. ในระหว่างการปฏิบัติธรรม จะมีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ อย่าสนใจ เมื่อได้สติ ก็ทำข้อ 7 8 9 ใหม่
  11. เมื่อใจเริ่มสงบดีแล้ว จะมีความรู้สึกแปลกๆ ก็ให้ทำเฉยๆไปเรื่อยๆ
  12. บางทำคำภาวนาจะหายไป ก็ไม่เป็นไร ให้ทำใจเฉยๆไปเรื่อยๆ
  13. เมื่อใจนิ่งได้ระดับนึง จะเริ่มเห็นความสว่างจากภายใน เป็นการเห็นด้วยใจ ก็ให้ทำใจเฉยๆต่อไป
  14. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือสงสัยอะไร ให้ทำใจเฉยๆอย่างเดียว
  15. หากมีข้อสงสัย หรือมีคำถาม หรือมีภาพ มีสิ่งผิดปกติ ให้ทำตามข้อ 14

ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง และเมื่อการปฏิบัติบังเกิดผลจนได้ดวงปฐมมรรคที่ใสเกินใส สวยเกินสวย ติดสนิทมั่นคงที่ศูนย์กลางกายแล้ว ให้หมั่นตรึกระลึกนึกถึงอยู่เสมออย่างนี้แล้ว ผลแห่งสมาธิ จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ความสำเร็จ และความไม่ประมาทได้ตลอดไปทั้งยังจะทำให้สมาธิละเอียดอ่อนก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ได้อีกด้วย
3591  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา / ความตาย วาทะโดยหลวงปู่ปัญญานันทภิกขุ เมื่อ: ตุลาคม 11, 2007, 08:58:03 AM
"ความตายเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุดของมนุษย์" ไม่มีใครปฏิเสธคำกล่าวนี้
     
       "กมฺมุนา วตฺตติ โลโก - โลกหมุนไป ตามกฏของกรรม" เรื่องของโลกเป็นเช่นใด เรื่องของชีวิตก็เป็นเช่นกัน
     
       แม้ว่า ความตายเป็นสิ่งสามัญที่ไม่อาจหลีกพ้นได้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ พระพรหมมังคลาจารย์ ที่ดับขันธ์จากเราไปแล้ว ท่านมีทัศนะต่อความตายในการเทศนาธรรมตามวาระต่างๆหลายต่อหลายครั้ง "ผู้จัดการปริทรรศน์"นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นอนุสติและรำลึกต่อการจากไปของพระที่แท้ของแผ่นดิน
     
       ******
     
       ความตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะเกิดมีแก่ทุกชีวิต อันนี้คนเราไม่ค่อยได้คิด เรื่องความตายไม่ค่อยคิด เพราะคนเราไม่ค่อยคิด เพราะคนเรามีความต้องการที่จะอยู่มาก ทุกคนเหมือนต้องการที่จะอยู่ทั้งนั้น ไม่มีใครอยากตาย แต่ว่าก็ไม่ได้ว่าไม่ให้อยู่ อยู่ไปตามเรื่อง แต่เราจะต้องคิดไว้บ้างว่าเราจะอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้ ชีวิต เป็นของไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งมันต้องถึงจุดจบเป็นธรรมดา อันนี้เป็นเรื่องที่ควรจะได้คิด
     
       ปกติคนเราไม่ค่อยจะได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คิดถึงเรื่องความตายนี้แหละ จึงทำให้คนเกิดความประมาทมัวเมาในทรัพย์สมบัติ มัวเมาในความเป็นใหญ่ในอำนาจวาสนา ในเรื่องอะไรต่างๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตทั้งนั้น แล้วเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง เพราะไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับความตายไว้บ้าง ถ้าหากว่าได้เอาความตาย ที่เราได้เป็นข่าวมาเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า แกเองนี่แหละสุดท้ายชีวิตมันก็จบลงกันที่ตรงนี้ แม้จะมีอำนาจสักเท่าใด ยิ่งใหญ่สักเท่าใด ใครๆ เขาก็จะเคารพบูชาสักเท่าใด ก็ต้องถึงจุดจบคือถึงแก่ความตาย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น เมื่อเราคิดอย่างนั้นเราก็ควรจะถามตัวเราเอง พิจรารณาถึงสังขารร่างกายของเราเอง ว่ามันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
     
       เพราะว่าความตายกับความเกิดนั้น เป็นของคู่กัน มาด้วยกันไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งมันจะปรากฏแก่ตาของเราเอง ว่ามันเป็นอย่างนั้น การนึกคิดในเรื่องความตายนี้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เรียกว่าอัปมงคลอะไร แต่เป็นเรื่องเป็นมงคล เป็นเหตุให้คนมีความก้าวหน้าในชีวิต ในการงานด้วยประการต่างๆ เพราะเราได้นึกถึงเรื่องความตายไว้บ้าง คนที่นึกถึงความตายนั้น จะเป็นคนที่ขยันขันแข็งเอางานเอาการ เพราะรู้ว่าชีวิตนี้มันน้อย มันสั้น เราควรจะรีบทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ถ้านึกถูกต้อง แต่บางคนมานึกถึงความตายไม่ถูกเป้าหมาย คือพอไปเห็นคนอื่นตาย หรือใครตายแล้วใจอ่อนไป กลัวต่อความตาย มืออ่อนตีนอ่อน แล้วก็นึกว่า จะทำไปทำไปทำไม ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ไปนึกอย่างนั้น อันนี้ไม่ถูกเรื่อง ไม่ตรงตามจุดหมายของพระพุทธเจ้า
     
       พระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความตายนั้น ก็เพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องตาย เราหนีจากความตายไปไม่พ้น และเมื่อรู้ว่าเราจะต้องตาย หนีจากความตายไปไม่พ้นแล้ว เราควรจะได้ใช้ชีวิตเท่าที่เหลืออยู่นี้ ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการประกอบหน้าที่ที่เราจะต้องกระทำ
     
       ทุกคนมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อันใด จงทำหน้าที่อันนั้นให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง อย่างนั้นจึงจะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตแก่ครอบครัว ตลอดถึงประเทศชาติบ้านเมือง เพราะฉะนั้นการนึกถึงความตาย คือให้นึกว่าเราจะต้องตาย เมื่อนึกว่าจะตายแล้วเราก็ไม่ประมาท รีบเร่งกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต เช่นในเรื่องการงาน ในด้านวัตถุ ที่เราพูดในภาษาธรรมะว่า ในด้านคดีโลก คดีโลกหมายความว่าในด้านวัตถุ เช่นการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ประกอบการงานไปตามหน้าที่ เราก็ทำไปตามเรื่องตามหน้าที่ที่เราจะกระทำได้ แล้วก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียบร้อยทำให้ดีที่สุด เพราะเรานึกว่าชีวิตไม่แน่ไม่เที่ยง เราอาจจะดับลงไปเมื่อใดก็ได้
     
       ******
     
       ไม่มีสิ่งใดที่จักเกิดขึ้นและเป็นอยู่โดยมิได้อาศัยกรรม ต้องมีกฏนี้เข้าไปแทรก แซงอยู่เสมอ และที่ทุกอย่างดำเนินไปได้เป็นปกติ ก็เพราะยังมีกรรมของมันอยู่ ถ้าหากหมดกรรมลงเมื่อใดแล้วก็แตกสลาย แต่การสลายตัวของสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดสิ่งอื่นต่อไปอีก เช่นต้นไม้ต้นหนึ่งตายก็กลายเป็นไม้ท่อน คนเราเอาไม้ท่อนไปทำรถ ทำเรือน ทำอะ ไรหลายอย่าง ถ้าวัตถุที่ถูกทำนั้นตายคือผุต่อไปอีกก็กลายเป็นปุ๋ยก่อให้เกิดเป็นอาหาร แก่หญ้าแก่ต้นไม้ต่อไป วัตถุทั้งปวงในโลกจึงมิได้หายไปจากโลก มันหมุนเวียนเป็นสัง สารวัฏฏ์วนไปมาอยู่เสมอ เป็นเรื่องไม่จบ แต่เป็นวงกลมที่ไม่มีการตั้งต้นและไม่มีที่สุด เป็นแต่อาศัยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปๆ แล้วก็เกิดขึ้นอีก เป็นวงเวียนตลอดสายจึงเรียกว่า เป็นไปตามอำนาจของกรรม
     
       ******
     
       ทีนี้มนุษย์ เรานี่มักจะฝืนธรรมชาติ ไม่คล้อยตามธรรมชาติในเรื่องธรรมชาติที่มันแน่นอนที่สุดที่จะต้องเป็น เราก็ไปคิดว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่โลกนานๆ แม้จะแก่ชราเท่าใดก็ไม่อยากให้ท่านจากไป ให้อยู่ได้เห็นหน้ากัน แล้วก็รู้สึกว่าอุ่นอกอุ่นใจ มีความสบายใจ นี่คือความคิดธรรมดาสามัญทั่วไปในมนุษย์เราทั้งหลายเราไม่เคยคิดในแง่ความจริงในสิ่งนั้น คือไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ท่านจะไม่อยู่กับเราตลอดไป วันหนึ่งท่านก็จะจากเราไป เพราะสังขารร่างกายนี่มันเปลี่ยนแปลง ชรา ชำรุดทรุดโทรม ร่างกายของมนุษย์นี่เปลี่ยนแปลงทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็เปลี่ยนหายใจออกก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปสู่ความแตกดับทั้งนั้น ไม่มีร่างกายของคนใดที่จะคงทนถาวร อยู่ได้ตลอดกาลนาน มีความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วผลที่สุดแตกดับไป นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติ แม้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องอย่างนั้นแล้วก็ต้องแตกดับไปตามเรื่องอย่างนั้น แต่ว่า มันไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้นกฏธรรมชาติมันมีอยู่แล้วคือการไหลเวียน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ายังมีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเบียดเบียนร่างกายอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าว่า โรคนิทฺธํ ร่างกายนี้ เป็นเรือนโรค เป็นที่อาศัยของโรคนานาชนิด ซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันเป็นตัวจุลินทรีย์ตัวเล็กๆ ลอยฟ่องอยู่ในอากาศ หายใจเข้าไปทางจมูกบ้าง ติดเข้าไปกับอาหารบ้าง มาเกาะที่ร่างกายของเราแล้วมันเจาะใชชอนเข้าไปในร่างกายไปยึดเอาร่างกายของเราเป็นที่อยู่อาศัย ร่างกายของมนุษย์นี่เป็นเรือนของโรคแท้ๆ
     
       ******
     
       ทำไม คนเราจึงเสียดายคนที่ตายไป ไม่ใช่เสียดายเรื่องคนตาย แต่ว่าเราเสียดาย ความงามความดีนั่นเอง เพราะว่าคนนั้นเป็นผู้มีความดี เรารักความดีเราเสียดายความดี เราอยากจะให้ความดีอยู่ต่อไป แต่ถ้าเรามานึกถึงว่าความดีนั้นไม่ได้ตาย ตายแต่คนที่ใช้ความดี เมื่อคนนั้นตายไปความดีก็ไม่ได้ตาย เราจะไปเสียใจอะไร เพราะร่างกายนี้เป็นของประสม เป็นของปรุงแต่ง ที่พระท่านเรียกว่า "สังขาร" เราสวดมนต์ตอนท้ายว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารคือร่างกายจิตใจ รูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา เราว่ากันบ่อยๆ อย่าเพียงแต่ว่าเฉยๆ ต้องเอามาคิดนึกตรึกเตือนจิตสะกิดใจไว้บ่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญา แล้วเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เราจะได้ปลงตกได้ว่า เรื่องธรรมดาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราหนีจากสิ่งนี้ไปไม่พ้น จะไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องอะไร เศร้าโศรกเสียใจทำไม ควรจะคิดทำอะไรๆที่เป็นประโยชน์ต่อไป เช่นคุณพ่อคุณแม่เราถึงแก่กรรมไป เราก็คิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเครื่องสนองบุญคุณของท่านทั้งสองนั้น อันจะเป็นประโยชน์เป็นความสุขต่อไป หรือว่าเราควรจะรับสิ่งใดของท่านไว้
     
       ******
     
       คนเราที่เกิดมาแล้วต้องจากกันทั้งนั้น ต้องตายทั้งนั้น เมื่อก่อนนี้เรามีพ่อแม่ มีคุณปู่ คุณตา คุณย่า คุณยาย เดี๋ยวนี้ปู่เราไปไหนแล้ว ทวดเราไปไหนแล้ว ย่าเราไปไหน ยายเราไปไหน ถ้าคิดดู อ้อ ท่านไปแล้ว ไปก่อนแล้ว ปู่ทวดไปก่อน แล้วปู่ตาไป ย่ายายไป พ่อแม่เราก็ไป สามีเราก็ไป ภรรยาเราก็ไปกันโดยลำดับ คนอื่นเขาไปกันแล้ว วันหนึ่งเราก็ต้องไป แต่เวลานี้ยังไม่ไป เพราะร่างกายมันยังมีปัจจัยเครื่องปรุงเครื่องแต่งอยู่ ยังพออยู่ในโลกมนุษย์ไปได้
     
       ******
     
       คนเราเวลาเกิดไม่ได้เอาอะไรมา เวลาไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป สิ่งทั้งหลายที่เราได้ใช้ได้กินอยู่ในชีวิตประจำวันนี้ ถือว่าเป็นของยืมมาทั้งนั้น ยืมมาชั่วคราว ยืมแล้วต้องส่งคืนเอาไปไม่ได้ พอเราจะไปก็ส่งคืนเขา ทรัพย์สมบัติก็ส่งคืนธรรมชาติ ร่างกายก็ส่งคืนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ เรานึกอย่างนั้น ใจก็ไม่ยึดมากเกินไป มีทรัพย์สมบัติก็ใช้ไปตามหน้าที่ บำรุงศาสนา บำรุงสาธารณกุศล อะไรพอจะช่วยได้ก็ช่วยไปตามเรื่อง ใช้สมบัติให้เป็นประโยชน์แก่ตัวแก่ท่านตามสมควรแก่ฐานะ พอถึงบทที่เราจะจากไป เราก็อย่าไปอาลัยอาวรณ์ ว่าเออ เสียดายสิ่งนั้น เสียดายสิ่งนี้ ไม่เข้าเรื่องเป็นทุกข์เปล่าๆ
     
       ความพลัดพรากจากของชอบใจเป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่ได้พิจารณา แต่ถ้าเราได้พิจารณาแก้ไขไว้ ความทุกข์ในเรื่องนั้นก็จะไม่เกิดมีขึ้น อันนี้เป็นการปฏิบัติชอบอันหนึ่ง
     
       ******
     
       การตายในขณะเป็นอยู่ เป็นการตายที่ร้ายแรงกว่า การตายของคนตายจริงๆ เพราะคนตายจริงๆ ไม่ให้โทษแก่ใคร แต่คนตายยังเป็นอยู่ เพราะขาดคุณความดีนั้น เป็นภัยต่อสังคมมาก จึงเป็นตายที่น่ากลัวโดยแท้ ชีวิตที่ต้อง การอยู่อย่างคนเป็นจึงต้องมีธรรมะประจำใจ
     
       ******
     
       ความตายทางกายไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ว่าความตายทางใจเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีความตายทางกายมันก็จบฉากกันไปตอนหนึ่ง แล้วก็เอาไปเผาที่ป่าช้า ส่วนคนที่ตายทางจิตนั้น มันไม่อย่างนั้น แต่ยังมีชีวิตอยู่เดินได้พูดได้ ยังก่อกรรมทำเข็ญให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แก่บุคคลได้อยู่ เพราะฉะนั้น คนที่ตายทางจิต จึงเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่มนุษย์ทั่วๆไป เราจึงควรกลัวสิ่งที่เรียกว่าทำให้เราตายใน ทางจิตใจ
     
       ไม่ต้องกลัวสิ่งที่ทำให้เราตายในทางร่างกาย ความกลัวในสิ่งที่ทำให้เราตายทางจิตใจนั้น ก็ไม่ใช่กลัวอะไรอื่นไกล แต่กลัวความคิดชั่ว ที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเราเอง มันทำลายตัวเรา มันส่งเราไปสู่ที่ทุกข์ที่ยาก ทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตด้วยประการต่างๆ จึงควรจะสนใจในการที่จะไม่ให้จิตใจของคนตายไปจากคุณงามความดี แต่ควรจะได้ส่ง เสริมสนับสนุนให้จิตใจของตน ให้มีคุณธรรมประจำจิตใจอยู่ตลอดเวลา อันคนเราที่จะมีหลักธรรมประจำจิตใจอยู่เสมอนั้น ก็ต้องมีความภักดีต่อสิ่งที่เป็นหลักทางใจ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ในการปฏิบัติธรรมะในทางพระศาสนา
     
       ******
     
       คนเราเวลาตายไปก็หมดเรื่องตอนหนึ่งของชีวิต ตายไปแล้วอะไรๆ ก็ทิ้งไว้ในโลกต่อไป เพราะเราทำเพื่อให้แผ่นดินนี้ไม่ใช่เพื่อจะเอาไป ทรัพย์สินเงินทองไม่มีใครเอาไปได้ รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ข้างหลังก็ได้ประโยชน์แก่คนข้างหลังต่อไป ไม่ใช่ทำเพื่อเรา ถ้าทำเพื่อเราก็คิดผิด แต่เราทำเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติบ้านเมือง

ที่มา  ผู้จัดการ
3592  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / สำหรับทริปนี้ " อินเตอร์เน็ตสู่ ชุมชนที่ขาดแคลน " เมื่อ: ตุลาคม 08, 2007, 06:07:05 PM
ช่วงนี้ ก็กำลังรวมๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่มีใจรักในการทำงาน เพื่อสังคม ครับ

เพื่อจะ ไปทำระบบ network อินเตอร์เน็ต ให้กับเด็กๆ ในต่างจังหวัด ครับ

จุดประสงค์หลัก เพื่อ

      1.ให้เด็กๆ ในชนบทได้มีโอกาสใช้สื่อของอินเตอร์เน็ตในการหาความรู้ต่างๆ
      2.ให้เด็กๆ ได้พัฒนาความสามารถในการใช้งานคอมพิวเตอร์ ให้สูงขึ้น
      3.ผลักดันให้ เด็กๆ มีความสนใจในสื่ออินเตอร์เน็ตให้มากขึ้น
      4.พี่น้องคนไทย ได้ช่วยเหลืิอพี่น้อง คนไทยด้วยกันเอง เป็นการสร้างความสามัคคีในชาติอีกทางหนึ่ง
      5.บริจาค ข้าวของ เครื่องใช้ต่างๆ ในการเรียน รวมถึงเสื้อผ้า ให้แก่เด็กๆ ได้

3593  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / เกี่ยวกับ Free Hosting saiyaithai.org / ตอนนี้ ระบบใช้งานได้แล้วครับ แต่ว่า เมื่อ: กันยายน 22, 2007, 08:21:41 PM
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่านที่ใช้งาน saiyaithai.org น่ะครับ  จุมพิต

วันนี้ทางเรา ได้เข้าไปทำเครื่องใหม่ โดยที่ ลง OS + จูนนิ่ง ใหม่ทั้งหมด

ลงใน harddisk ลูกใหม่ ซึ่งลูกเก่านั้น เสียชีวิตไปแล้ว แต่ดีที่ว่ากู้ข้อมูลมาได้เกือบทั้งหมด

ในส่วนของการ ย้ายข้อมูลของผู้ใช้งานนั้น ทางทีมงานได้ทำระบบใหม่ ขึ้นมา โดยที่

จะให้สมาชิกนั้น สมัครใช้งานใหม่แต่เป็น account เดิม ในระบบใหม่ของเรานี้  

เมื่อท่านใด สมัครเรียบร้อยแล้วให้ ส่ง email มาที่

Email ===> [email protected]

โดยบอกชื่อ account + และก็ email ที่ใช้สมัคร

และทางทีมงานจะทำการย้าย ข้อมูล ให้กับผู้ใช้งาน ให้ครบทุกอย่าง

โดยขอเรียนว่า ข้อมูลของผู้ใช้งานยังอยู่ครบเกือบ 99% ไม่ต้องเป็นห่วงครับ

ในระบบของส่วนสมัครนั้นจะทำการ บอกอีกทีใน วันพรุ่งนี้ น่ะครับ

มีคำถาม สงสัย หรือข้องใจในประการใด โฟสไว้ได้ใน บอร์ดนี้น่ะครับ
3594  ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน / นั่งสมาธิ แนว กสิณ10 คืออะไร / นักวิทยาศาสตร์ทึ่งการนั่งสมาธิ เมื่อ: กันยายน 07, 2007, 04:31:45 PM
นักวิทยาศาสตร์ต่างชาติระบุนั่งสมาธิเจริญสติสัมปชัญญะและปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ จะส่งผลดีและช่วยพัฒนาศักยภาพของสมอง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมาธิเมืองไทยยืนยันเห็นด้วย พร้อมชี้ทุกวันนี้คนทั่วไปดึงประสิทธิภาพของสมองมาใช้ได้เพียงแค่ 7% เท่านั้น

ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ทำการทดลองสแกนคลื่นสมองของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมมามากกว่า 10,000 ช.ม. ด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า "Magnetic Resonance Imaging" เปรียบเทียบกับผู้ฝึกสมาธิในขั้นเริ่มต้น พบว่าพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำจะมีคลื่นสมองที่เป็นระเบียบมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นการทดลองยังพบอีกว่า ในระหว่างที่ทำสมาธิอยู่นั้น ในกลุ่มพระสงฆ์จะมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มผู้ที่ฝึกสมาธิในระยะเริ่มต้นมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวถูกนำเสนอไปที่ประชุมหัวข้อ "จิตใจและชีวิต" ครั้งล่าสุดที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีองค์ทะไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งทิเบต เป็นประธานในการประชุม เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจทั้งจากนักวิทยาศาสตร์ในแขนงต่างๆ และผู้ศึกษาธรรมะเป็นจำนวนมาก

ก่อนหน้านี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติธรรมหรือทำสมาธิที่มีต่อร่างกายไว้เช่นกัน เช่น เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการทดลองโดยสังเกตผู้นั่งสมาธิ จำนวน 35 คน เพื่อศึกษาอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด อุณหภูมิผิวหนัง พบว่าช่วงที่นั่งสมาธิพวกเขาใช้ออกซิเจนลดลง 17% มีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง 3 ครั้งต่อนาทีและมีอัตราคลื่นสมองเกิดขึ้นเช่นเดียวกับผู้ที่นอนหลับ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำสมาธิเป็นประจำยังส่งผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมี เกร็ก จาร์ค็อป ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาฮาร์วาร์ดเช่นกัน ได้ทำการทดลองโดยแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้ทำสมาธิ กลุ่มที่ 2 ให้ฟังเทปจากการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาผ่อนคลาย พบว่าหลายเดือนต่อมากลุ่มแรกมีคลื่นสมองเกิดขึ้น เหมือนช่วงเวลานอนหลับ เนื่องจากการนั่งสมาธิจะไปลดการทำงานของสมองส่วนบนที่รับรู้เรื่องเวลาและสถานที่

ด้าน นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ผู้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมะและสมาธิ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนทั่วไปใช้จิตหรือเซลล์สมองไม่เกิน 7% ของศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด ขณะที่ผู้เป็นอัจฉริยะระดับโลกก็ใช้เซลล์สมองเพียง 8-10% เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าหากมนุษย์พัฒนาศักยภาพของสมองเพื่อนำเซลล์สมองที่ไม่ได้ถูกใช้ ซึ่งมีอีกถึงกว่า 90% ก็น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความคิดได้อีกมากมาย

เมื่อยังเด็กสมองทั้งในส่วนที่เป็นเหตุเป็นผลและจินตนาการของคนส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน แต่เมื่อโตขึ้นสมองซีกซ้ายที่ควบคุมการทำงานด้านเหตุผลกลับโตอยู่ข้างเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพของสมอง ต้องหมั่นเจริญสติสัมปชัญญะ นั่งสมาธิหรือปฏิบัติธรรม ด้วยการปล่อยจิตให้เหมือนกระดาษเปล่า หรือแก้วน้ำที่ว่างเปล่า เปิดใจรับทุกอย่างตามความเป็นจริง โดยไม่ตั้งกรอบใดๆ ไว้ และปล่อยความคิดให้ลื่นไหลสำหรับการสร้างสรรค์ นั่นคือการใช้ศักยภาพสมองของสมองซีกขวา อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของสมองโดยรวมต่อไป.

ที่มา: นสพ.ไทยโพสต์ 22 ม.ค.48
3595  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / แจก CD ธรรมะ การปฏิบัติสมาธิ และ สติปัฏฐาน ฟรีๆ เมื่อ: กันยายน 06, 2007, 02:59:48 PM

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แจก CD ธรรมะ การปฏิบัติสมาธิและการตามรู้สภาวะธรรม และตามดูจิต ในแนวสติปัฏฐาน4 ซึ่งเทศน์โดย
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช (สวนสันติธรรม) ครับ  
ทั้งหมดนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย+ พอดีจะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ด้วย
กระผมในนาม Packetlove.com และ Kammatan.com ก็เลยได้ทำหนังสือสวดมนต์ ขึ้นมาก็ว่าจะแจกพร้อมกับ cdrom ไปด้วย ก็ขอให้ทุกท่าน
ตั้งใจปฏิบัติธรรมน่ะ ครับเพื่อจะได้มีสติ เตือนตัวเองตลอดเวลา และสำหรับช่วงปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ กระผม ก็ขอให้
ทุกท่านมีแต่ความสุข สิ่งใดที่ไม่ดี ก็ขอให้เป็นประสบการณ์แก่เรา ให้เราไม่หลงเดินทางผิด น่ะครับ และขอให้
คุณพระศรีรัตนตรัยที่สถิตย์อยู่ ณ สยามประเทศนี้ จงคุ้มครองทุกท่านให้ โชคดีกันทุกคนเลยน่ะครับ


ก็ กรอกชื่อที่อยู่ ไว้น่ะครับเด๋วผมจะทยอยส่งกลับไปให้ น่ะครับหรือจะเดินมารับเองได้ที่ กุฏิประชาชื่น ก็ได้น่ะครับ

ที่อยู่กุฏิ http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=8.0   ยิ้มเท่ห์

ต้องขอบคุณ พี่กล้า แห่ง http://kasin.packetlove.com มากน่ะครับที่ได้รวบรวมข้อมูลไว้ เป็น cd
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

นายวัฒนชัย  เก๊กฮั้ว
สุขเจริญ แมนชั่น
บ้านเลขที่ 271 ซ.เจริญนคร40
ถนนเจริญนคร แขวงบางลำภูล่าง
เขตคลองสาน กทม 10600

http://www.kammatan.com
เบอร์โทรติดต่อ : 086-4150926

Watthanachai Kekhua
SukJalearn Mansion
Soi.JalearnNakhon40 , JalearnNakhon Road.
BangRamPooLang
KlongSan
BANGKOK 10600
THAILAND      ยิ้ม
Mobile :  086-4150926
----------------------------------------------------

เพื่อความสุขในการใช้ชีวิต ร่วมใจปฏิบัติธรรมะ เจริญปัญญาด้วยสติปัฏฐาน ให้มีสติรู้ตัว รู้กาย รู้ใจ นะครับ

" แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้าเพียงใด คนเราก็หนีความตายไม่พ้น ร่ำรวยล้นฟ้า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ นอกจากจิตที่ฝึกดีแล้ว "


ขั้นตอนการขอ cd + หนังสือ
1.สมัครสมาชิก ที่บอร์ดแห่้งนี้  
2.โฟสบอกชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรถ้าให้ไว้ของจะถึงเร็วน่ะครับ ไว้โทรถามเวลาส่งของ น่ะครับ

** หนังสือที่ส่งให้
- บางครั้งอาจจะเป็น หนังสือธรรมะของหลวงปู่ชา บ้าง เป็นหนังสือสวดมนต์บ้างน่ะครับ


3596  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / ยายทองอิ่มกับศิ หลานกำพร้า เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 11:17:51 PM
ยายทองอิ่มกับศิ หลานกำพร้า

เมื่อแม่เสียชีวิตเพราะป่วยเป็นโรคไข้หวัดนก ศิจึงต้องย้ายมาอยู่กับยายทองอิ่ม ซึ่งเดิมทีก็มีภาระต้องเลี้ยงดูสามีที่สติไม่สมประกอบ โดยไม่มีลูกคนไหนส่งเสีย

ยิ่งยายมาถูกงูกัดที่ขา ก็ยิ่งทำให้ขาทั้งสองข้างไม่มีแรงเดิน แถมดวงตาก็ฝ้าฟาง จนถีบจักรยานเร่ขายอาหารถุงไม่ได้ ต้องหันมาเก็บของเก่าขาย เลี้ยงสามีและหลาน แต่ก็ติดเชื้อราทั่วทั้งตัว จนทำงานไม่ค่อยไหว

(เสียง..... ทองอิ่ม คงสุข,วัย 68 ปี ชาว จ.สุพรรณบุรี )

แม้อยากไปหาหมอรักษา โรงพยาบาลก็อยู่ไกล ลำพังรายได้จากหาเก็บของเก่าขาย และเบี้ยยังเดือนละ 300 บาท รวมกันแล้วก็ไม่พอเป็นค่ารถ เพราะไหนจะค่าอาหารการกินในบ้าน ไหนจะค่าโรงเรียนของศิ ซึ่งหลายครั้งที่ต้องไปเรียนโดยไม่มีเงิน

(เสียง..... ทองอิ่ม คงสุข,วัย 68 ปี ชาว จ.สุพรรณบุรี )

ที่ผ่านมา แม้ทางโรงเรียนจะให้ความช่วยเหลือ แต่ก็แค่บางส่วนจึงไม่มีใครรับรองได้ว่าชีวิตวันข้างหน้า ศิจะมีโอกาสได้เรียนสูง ๆ อย่างที่ใจมุ่งหวังหรือไม่

--------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติม,02-2720001-10,ต่อ 280 และ 311


(ธนาคารกรุงไทย สาขาสามชุก
ชื่อบัญชี นางทองอิ่ม คงสุข เลขที่บัญชี 711-0-11719-7
ที่อยู่ 2 ม.1 ต.นางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี
ติดต่อ อาจารย์ทองแท้ : ผู้แจ้งเรื่อง 087-9346293 )

-------------------------------------------------------------------------------

พวกเราอยู่ในสังคมที่สุขสบาย มีอันจะกินแล้ว หันหลังกลับไปมอง สังคมที่อยู่กันยังงี้ บ้างน่ะครับ เพื่อสังคมที่ดีขึ้น

3597  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / หนุ่มพิการ ยอดกตัญญู อยากทำงาน เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 11:16:02 PM
 ไกล หนุ่มพิการ อยากทำงาน 
หลังจบ ม.6 ทำงานได้เพียง 2 เดือน ไกล ก็เกิดอุบัติเหตุจนกระทบสมอง ทำให้ความจำไม่ดี และขาอ่อนแรง ที่เคยวาดหวังอยากทำงานช่วยแม่ เลี้ยงดูพ่อซึ่งป่วยอัมพฤกษ์นานถึง 15 ปี จึงพังทลาย กลายเป็นอีกภาระให้แม่ต้องฝืนปวดขา ยืนทำงานทั้งวัน มาเลี้ยงดู ทั้งยังต้องจ่ายค่ารถพาไกลไปรับยาอีกไม่ใช่น้อย

      พ่อปวดตามข้อตามเส้น ยังดิ้นรนสานแหอวน เผื่อมีทางเพิ่มรายได้บางครั้งจะพาไกลหาเก็บผักมากิน ซึ่งหากพลาดหกล้ม กว่าจะฉุดดึงกันขึ้นมาได้ก็ยากเย็นไกลได้แต่เสียใจ ที่ไม่อาจช่วยพ่อแม่ได้มากกว่านี้

      แม้ร่างกายจะยังไม่สมบูรณ์ดังเดิม แต่ไกล ก็เชื่อว่าน่าจะมีงานที่เขาสามารถทำได้ ขอเพียงแต่มีคนหยิบยื่นโอกาส ให้ได้ทำงานเลี้ยงตัวเองและพ่อแม่ไกล ก็ดีใจที่สุดในชีวิตแล้ว

เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ  ที่ต้องการช่วยเหลือ ติดต่อได้ทางนี้ น่ะครับ   ยิ้มเท่ห์
---------------------------------------------------------------------------------------------
    ( ธ.กรุงเทพ สาขาขอนแก่น เลขบัญชี 260 539 8946
    ชื่อบัญชี นางสะเทือน แย้มศรี (แม่ของไกล)
    125 ม.3 บ้านโคกสหกรณ์ ต.หนองกุงธนสาร อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น
    ติดต่อ คุณเรณู (ญาติ) 085-0714260
----------------------------------------------------------------------------------------------
3598  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: กิจกรรมเลี้ยงข้าว บริจาคเสื้อผ้า เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 11:13:18 PM
เซียน นั่นแถวบ้านเลยอ่ะ
วันไหนจะมาโทรมาหน่อยดิ ถ้าอยู่บ้านจะได้ไปด้วยยยย


ได้เลยเสี่ยปุ๋ย น่าจะบอกก่อนหน้านี้ หน่อย อิอิ

ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าก็ได้ จะไปทีั่ไหน จะเมลบอก เพื่อนๆ ทุกคนในบอร์ดด้วย น่ะครับ  ยิ้มเท่ห์
3599  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: กิจกรรมเลี้ยงข้าว บริจาคเสื้อผ้า เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 11:24:38 AM
ไปบริจาคไกลๆ กทม.น่ะ ในกทม.เด็กรวยแล้ว อุอุ ขยิบตา

อิอิ เด๋วถ้าเครียร์เวลาได้ คงจะออกไปต่างจังหวัดอ่ะพี่

อยากไปประมาณพวก หมู่บ้านที่กันดารหน่อย ไปช่วยเหลือเด็กๆ พวกนั้น

ก็น่าจะ ดีเหมือนกันเน๊อะ เอาไว้ ถ้าลงตัวเรื่องเวลาและสถานที่ ที่จะไปเมื่อไร

จะ บอกให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทราบกันอีกน่ะครับ

 ยิ้มเท่ห์

สังคมไทย จะน่าอยู่ ถ้าพวกเรา ร่วมกันแบ่งปันน้ำใจ น่ะครับ
3600  กิจกรรมที่ช่วยเหลือทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา แหล่งทำบุญ หรือ การช่วยเหลือสังคม จากทาง Kammatan.com / แจกcdธรรมะ+หนังสือ ปฏิบัติธรรมฟรี / Re: กิจกรรมเลี้ยงข้าว บริจาคเสื้อผ้า เมื่อ: กันยายน 05, 2007, 10:48:09 AM
หรือเข้าไปดูตามเว็บ ไซท์นี้ก็ได้ครับ

http://www.ffc.or.th/

การเดินทางไปมูลนิธิเด็ก

โดยรถยนต์ส่วนตัว

1.    หากคุณมาทางเส้น ปิ่นเกล้า - นครชัยศรี ให้คุณเลี้ยวซ้ายเข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 4 ขับตรงมาเรื่อย ๆ ประมาณ 4.5 กิโลเมตร จะเจอป้ายหมู่บ้านปฐมพร (ทางด้านซ้ายมือ) ก็ให้เลยมาอีกประมาณ 300 เมตร เจอป้าย "ชุมชนหมู่บ้านสินพัฒนาธานี" และ ก็มีป้ายสีเขียว ๆ ของกรมทางหลวงว่า "ตลาดนัดธนบุรี" ตั้งอยู่บนทางเดินเท้า (ข้อสังเกต: จะไม่เลยปั๊ม Esso ที่อยู่ด้านหน้า) จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้ามาในซอย ขับตรงมาประมาณ 600 เมตร เจอซอยแรกขวามือ (หรือสังเกตป้ายหมู่บ้านจตุพิธพร) ให้เลี้ยวขวา ตรงเข้ามา 100 เมตร เจอรั้วสีแดงและอาคาร๓ ชั้นอยู่ทางขวามือ ... ก็ถึงมูลนิธิเด็ก
   
2.    หากคุณมาทาง ถ.เพชรเกษม พอเลยหมู่บ้านหรรษาให้เลี้ยวขวาตรงสามแยกไฟแดงข้างหน้าเข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 4 จากนั้น ขับตรงมาเรื่อย ๆ ประมาณ 4 กิโลเมตร (หรือให้สังเกตว่าหลังจากที่เข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 4 แล้ว ให้นับจุดกลับรถหรือจุด U-TURN พอถึงจุดกลับรถที่ 3 ให้คุณกลับรถ) แล้วขับตรงไปประมาณกิโลกว่าจะเจอป้ายหมู่บ้านปฐมพร จากนั้นเส้นทาง ก็จะเหมือนในข้อแรก ...

โดยรถโดยสารประจำทาง

1.    เส้นทาง ปิ่นเกล้า - นครชัยศรี สามารถขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย ปอ.515 เป็นรถยูโร (สีส้ม) ได้ตั้งแต่ รพ.ราชวิถี ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ จนมาลงที่ ม.มหิดล ศาลายา จากนั้นให้ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 84 ก มีทั้งรถธรรมดาและรถแอร์ (สีน้ำเงิน) และอาจจะต้องลงเพื่อเปลี่ยนขึ้นรถคันใหม่เพราะสุดสาย (อู่รถสาย84 ก อยู่ที่หมู่บ้านร่วมเกื้อ) จากนั้นนั่งมาเรื่อย ๆ จนสังเกตเห็นป้ายหมู่บ้านปฐมพร หรือ โรงเรียนเอกดรุณ ป้ายถัดไปให้เตรียมตัวลง หรือ จากหน้า ม.มหิดล ศาลายา จะขึ้นรถสองแถวก็ได้ (จะมีป้ายบอกว่า สาย 4 หรือให้ถามคนรถ)
หรือ ปอ.359 (จากอนุเสาวรีย์ชัยฯถึงอ้อมใหญ่) ปอ.170 (จากหมอชิต2 ถึงอ้อมใหญ่)
2.    เส้นทาง ถ.เพชรเกษม สามารถขึ้นรถโดยสารประจำทางสาย 84 ก ได้ตั้งแต่คลองสาน หรือนั่งรถสายใดก็ได้มาลงที่หมู่บ้านหรรษาเพื่อต่อรถสาย 84 ก (เข้า ถ.พุทธมณฑลสาย 4) หรือนั่งรถสองแถวจากปากซอยพุทธมณฑลสาย 4 จากนั้นนั่งมาจน เห็นปั๊มน้ำมัน Esso อยู่ทางขวามือ ป้ายถัดไปให้เตรียมตัวลง และข้ามถนนมาอีกฝั่งเพื่อเดินหรือนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างมายัง มูลนิธิเด็ก ราคา 7 บาท

โดยรถตู้
     ให้ขึ้นรถตู้ต้นทางได้ที่ห้างสรรพสินค้าพาต้า ปิ่นเกล้า คันที่วิ่งมาพุทธมณฑลสาย 4 ให้จอดที่ชุมชนหมู่บ้านสินพัฒนาธานี จากนั้นจะเดินทางเท้าประมาณ 600 เมตร หรือว่าจะนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างราคา 7 บาท ... แล้วแต่ความสะดวก

แผนที่ก็ตามนี้ น่ะครับ



สังคมไทย ย่อมไม่ทอดทิ้งกัน ร่วมปันน้ำใจ เพื่อชีวิตที่สดใส ของเด็กไทย น่ะครับ   ยิ้มเท่ห์

นายวัฒนชัย  เก๊กฮั้ว
Contact Email : [email protected]
หน้า: 1 ... 238 239 [240] 241 242