KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ภาวนา เจริญสติ และ ปัญญา กับแนวปฏิบัติภาวนาตามหลัก สติปัฏฐาน 4 => ทางแห่งพระนิพพาน เดินไปอย่างไร มีวิธีปฏิบัติอย่างไร => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ กันยายน 11, 2008, 09:08:33 PM



หัวข้อ: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ กันยายน 11, 2008, 09:08:33 PM
(http://www.kammatan.com/gallary/images/20081225141414_img_7557.jpg)



อุโบสถศีล เป็นศีล สำหรับ

1.ฆราวาสผู้ครองเรือน ซึ่งปรารถนาความสุขอันยอดเยี่ยมในกาลปัจจุบันและอนาคต

2.ผู้สะสมบารมี เพื่อรู้ธรรมเห็นธรรมและบรรลุมรรคผลนิพพาน

ความมหัศจรรย์แห่งอุโบสถศีล
นางเอกุโปสติกาภิกษุณี ออกบวชเมื่ออายุได้ 7 ปี บวชแล้วไม่ทันถึงครึ่งเดือน นางก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ หมดสิ้นอาสวะกิเลส ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

.. หลายคนสงสัยว่า เหตุใดนางจึงได้บรรลุธรรมรวดเร็วอย่างนั้น
นางจึงเล่าประวัติ การเวียนว่ายตายเกิดของนางว่า เมื่อ 91กัปป์ที่ผ่านมา มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกมาแล้ว 7 พระองค์ คือ พระวิปัสสีพุทธเจ้า พระสิขีพุทธเจ้า พระกกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมโนพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า และพระโคตมะพุทธเจ้า ของเราในสมัยนี้
ในสมัยพระเจ้าวิปัสสีพุทธเจ้า นางเอกุโปสติกาภิกษุณี เกิดเป็นหญิงรับใช้ของพระเจ้าพันธุมมะ ผู้ครองนครพันธุมดี นางได้เห็นพระเจ้าพันธุมมะ พร้อมด้วยอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ทรงสละราชกิจมาสมาทานรักษาอุโบสถศีลในวันพระ นางคิดว่า อุโบสถศีลนี้ น่าจะเป็นของดีวิเศษ เจ้าฟ้ามหากษัตริย์จึงสนใจสมาทานรักษาเป็นประจำ นางคิดได้ดังนี้ จึงศึกษา และทำใจร่าเริงสมาทานรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำทุกวันพระ

ผลของการรักษาอุโบสถศีล

ทำให้นางได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ มีวิมานอันสวยงาม มีนางฟ้าแสนนางเป็นบริวาร มีผิวพรรณผุดผ่องดั่งทองคำ มีความงามยิ่งกว่านางฟ้าอื่นๆ ระหว่างที่นาง ยังท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ไม่ว่าจะเกิดในภพใดชาติใด นางจะเป็นผู้ประเสริฐในที่ทุกสถานทุกภพทุกชาติ ได้ที่อยู่อาศัยเป็นเรือนยอดปราสาทมณฑป ได้ดอกไม้เครื่องหอม เครื่องลูบไล้ ของกินของใช้ไม่เคยอดอยาก ภาชนะเครื่องใช้ทำด้วยเงินทองแก้วผลึกแก้วปทุมราช ผ้าไหมผ้าฝ้ายผ้าเปลือกไม้ล้วนแต่งามวิจิตรมีราคาสูง พาหนะ ช้าง ม้า รถ มีครบบริบูรณ์ ทุกอย่างเป็นผลบุญที่เกิดขึ้นจากการรักษาอุโบสถศีลในวันพระของนาง ตลอดเวลา 91กัปป์ นางมิได้ไปเกิดในทุคติภูมิเลย

พระพุทธองค์ตรัสว่า " ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อุโบสถศีลประกอบด้วยองค์แปดที่บุคคลสมาทานรักษาแล้วย่อมมีผลยิ่งใหญ่ มีอานิสงส์มหาศาล มีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก มีผลอานิสงส์แผ่ไพศาลมาก "

อุโบสถศีล เลิศกว่าสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ์

บรรดาคนร่ำรวยที่สุดในโลก มหาเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองมากมายมหาศาลเพียงใดก็ตาม ความร่ำรวยเหล่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์แล้ว ย่อมเป็นของเล็กน้อย ทรัพย์สมบัติของเศรษฐีทุกคนในโลกรวมกัน ก็ไม่เท่าทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์

ทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อเปรียบเทียบกับผลของการรักษาอุโบสถศีล ย่อมเป็นของเล็กน้อย คือ ไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 ของผลบุญที่เกิดจากการรักษาอุโบสถศีล

เพราะ สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นสมบัติมนุษย์ เป็นสมบัติหยาบ เป็นความสุขหยาบ ใช้เวลาเสวยอย่างมากไม่เกินร้อยปี แต่ผลของอุโบสถศีล เป็นเหตุให้ได้สมบัติทิพย์ ความสุขก็เป็นทิพย์ด้วย การเสวยสมบัติทิพย์ กินเวลายาวนานเป็นกัปป์เป็นกัลป์ บางทีเป็นนิรันดร์(นิพพานสมบัติ)

ดังนั้น ชาย หญิงทั้งหลาย ผู้ได้สมาทานรักษาอุโบสถศีลย่อมได้ชื่อว่า ทำความดีอันมีความสุข เป็นกำไร ไม่มีคนดีที่ไหนจะติเตียนได้ เมื่อสิ้นชีพไปแล้วย่อมเข้าถึงสวรรค์หกชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่ง

วิธีการรักษาอุโบสถศีล
เมื่อวันพระเวียนมาถึง ให้ทำความตั้งใจว่า วันนี้เราจะรักษาอุโบสถศีล เป็นเวลาสิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง คือตั้งแต่เช้าวันพระจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น

เจตนาละเว้นจากความชั่วทางกายวาจานั้นแลคือตัวศีล

โดยปกติ วันพระ อุบาสก อุบาสิกา จะพากันไปสมาทานอุโบสถศีลที่วัด พักอาศัยอยู่ที่วัดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ถ้าไม่ได้ไปวัดก็ให้ทำสมาทานวิรัติ หรือเจตนาวิรัติอุโบสถศีลเอาเอง

สมาทานวิรัติ คือ ตั้งใจสมาทานศีลด้วยตนเอง จะรักษากี่วัน กำหนดเอง เว้นจากข้อห้ามของศีลเสียเอง

เจตนาวิรัติ คือ เพียงแต่มีเจตนาเว้นจากข้อห้ามที่ใจเท่านั้น ก็เป็นศีลแล้ว ไม่ต้องใช้เสียงก็ได้

สมาทานวิรัติ ดังนี้
เจตนาหัง ภิกขะเว สีลังวันทามิ สาธุ สาธุ สาธุ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ ตั้งแต่เวลานี้ไปจนถึง... ข้าฯ จะตั้งใจรักษาอุโบสถศีล อันประกอบไปด้วยองค์แปดประการ คือ

1. ปานาติปาตา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไมทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป เป็นการลดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

2. อทินนาทานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ เป็นการลดการเบียดเบียน ทรัพย์สินของผู้อื่น

3. อพรหมจริยา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการประพฤติอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คือ ไม่เสพเมถุนล่วงมรรคใดมรรคหนึ่ง (ถ้าไม่แตะต้องกายเพศตรงข้าม และไม่จับของต่อมือกันจะช่วยให้การฝึกสติสัมปชัญญะดียิ่งขึ้น)

4. มุสาวาทา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการพูดปด คือ พูดไม่ตรงกับความจริง

5. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ อันเป็นเหตุของความประมาทมัวเมา

6. วิกาลโภชนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มกินอาหารในเวลาหลังเที่ยงไปแล้วจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นการลดราคะกำหนัด และลดความง่วงเหงาหาวนอน

7. นัจจคีตวา ทิตตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธวิเลปานะ ธารณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดูละครฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ทัดทรงดอกไม้ลูบไล้ของหอม เครื่องย้อมเครื่องทา เครื่องประดับตกแต่งต่างๆ อันปลุกเร้าราคะ กำหนัดให้กำเริบ

8. อุจจา สะยะนะ มะหาสะยะนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการนั่งนอนเครื่องปูลาด อันสูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี และวิจิตรงดงามต่างๆ เป็นการลดการสัมผัสอันอ่อนนุ่มน่าหลงไหล อดความติดอกติดใจสิ่งสวยงาม มีกิริยาอันสำรวมระวังอยู่เสมอ

ข้าฯ สมาทานวิรัติ ซึ่งอุโบสถศีล อันประกอบด้วยองค์แปดประการนี้ เพื่อจะรักษาไว้ให้ดีมิให้ขาด มิให้ทำลาย สิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ณ เพลาวันนี้ ขอกุศลส่วนนี้ จงเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ สาธุ

เมื่อวิรัติศีลแล้ว พึงรักษา กาย วาจา เว้นการกระทำ ตามที่ได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้จนสิ้น กำหนดเวลา พยายามรักษากาย วาจา มั่นอยู่ในศีล อย่าให้ศีลข้อใดข้อหนึ่งขาด หรือทะลุด่างพร้อยมัวหมอง ถ้ากระทำบ่อยๆ และต่อเนื่องยาวนาน ศีลจะอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิจะอบรมปัญญาให้แก่กล้า สามารถรู้ธรรมเห็นธรรม บรรลุมรรคผลนิพพานได้..

ปัญหา ในการรักษาศีล 8
คือ กลัวไม่ได้กินอาหารเย็น กลัวหิว กลัวเป็นโรคกระเพาะ กลัวรักษาศีลไม่ได้แล้วจะยิ่งบาป

ที่จริงแล้ว ผู้รักษาศีล 8 สามารถรับประทาน

น้ำปานะ คือ น้ำที่ทำจากผลไม้ ขนาดเล็กเท่าเล็บเหยี่ยว ขนาดใหญ่ไม่เกินส้มโอตำ หรือ คั้นผสมน้ำกรองด้วยผ้าขาวบางให้ดี 8 ครั้ง ผสมเกลือและน้ำตาล พอได้รส หรือ รับประทาน

เภสัช 5 อย่าง คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย(น้ำตาล)
นอกจากนี้ยังรับประทานสิ่งที่เป็นยาวชีวิก ได้โดยไม่จำกัดกาล คือ รับประทานเป็น

ยาได้แก่ รากไม้ เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะใคร้ ว่านน้ำ แฝก แห้วหมู
น้ำฝาด เช่น น้ำฝาดสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม ใบกะเพราหรือแมงลัก ใบฝ้าย ใบชะพลู ใบบัวบก ใบส้มลม
ผลไม้ เช่น ลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ รวมยางไม้จากต้นหิงค์และเกลือต่างๆ


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: teenggg1 ที่ พฤษภาคม 29, 2010, 11:34:59 AM
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: Invester ที่ กรกฎาคม 17, 2010, 08:22:12 AM
ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ สิงหาคม 21, 2010, 10:14:04 AM
 1.ศีล        2.และสังโยชน์ 10 อันยังมีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นองค์ประกอบอยู่
แล้ว ทั้ง 2 นี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างไร


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ สิงหาคม 21, 2010, 08:59:53 PM
แบบเนื้อๆครับ

 รักษา ศีลให้บริสุทธิ์

 หมั่นเจริญ สมาธิ(สมถะและวิปัสสนา)เนืองๆ

 ให้เกิด ปัญญา เพื่อตัด สังโยชน์


 
 


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 02, 2010, 11:38:43 PM
แล้ว สมาธิ กะ ฌาน

เป็นยังไง ;D


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 02, 2010, 11:57:51 PM
เข้า...ฌาน...ได้...ญาณ..

สัมมาสติ >สัมมาสมาธิ>...เกิดปัญญา(ภวนามยปัญญา)

พอแยกออกมั๊ยครับ...ตอบได้รวดเร็วทันใจหรือเปล่า...สติเร็วเข้า "ฌาน" รู้มี "ญาน"

ทรงบัญญัติความหมาย ของคำว่า "ญาณ"
ไม่ตรงกับความหมายที่เดียรถีย์อื่นบัญญัติ ๑

จุนทะ ! ฐานะนั้นมีอยู่แน่, คือฐานะที่ปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่น ท. จะกล่าวอย่างนี้ว่า "พระสมณโคดม ย่อมบัญญัติญาณทัสสนะ
ปรารภอดีตกาลนานไกลอย่างไม่มีขอบเขต, แต่ว่าหาได้บัญญัติญาณทัสสนะปรารภอนาคตกาลนานไกล อย่างไม่มีขอบเขต เช่นนั้นไม่ : นั่นมันอะไรกัน? นั่นมันอย่างไรกัน? " ดังนี้.

จุนทะ ! ปริพพาชกผุ้เป็นลัทธิอื่น ท. เหล่านั้น สำคัญสิ่งที่ควรบัญญัติว่าเป็นอญาณทัสสะ นานาอย่าง ให้เป็นญาณทัสสะนานาอย่าไปเสีย เหมือนอย่างที่พวกคนพาลคนเขลาเขากระทำ กันนั่นเอง.

จุนทะ ! สตานุสาริญาณ (ญาณอันแล่นไปตามความระลึก) ปรารภอดีตกาลนานไกล ย่อมมีแก่ตถาคต เท่าที่ตถาคตจะระลึก ตามที่ต้องการ.
สำหรับ ญาณปรารภอนาคตกาลนานไกล อันเป็นญาณที่เกิดจากการตรัสรู้ (ที่โคนต้นโพธิ์) ย่อมเกิดแก่ตถาคตว่า "ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย, บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีกต่อไป". ดังนี้.

หมายเหตุ : ญาณตามความหมายในพุทธศาสนามีขอบเขตจำกัดเฉพาะเรื่องเฉพาะอย่าง ทั้งที่ปรารภอดีตและอนาคต, หาใช่ไม่มีขอบเขตจำกัด ดังที่เดียรถีย์กล่าวไม่. ขอให้สังเกตใจความแห่งข้อความข้างบนนี้ให้ดี ๆ ก็พอจะเข้าใจได้เอง. -ผู้รวบรวม.

๑. บาลี ปาสาทิกสูตร ปา. ที. ๑๑/๑๔๗/๑๑๘. ตรัสแก่จุนทสมณุทเทส ที่อัมพวันปราสาท ของเจ้าศากยะพวกเวธัญญา.



หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 03, 2010, 01:41:40 AM
*เข้า ฌานระดับ 4 ที่ว่าอุเบกขานั่น

เป็นตอนหายใจน้อยๆ เบาๆ หรือเปล่า

**ระหว่างสมาธิที่มี 3ลักษณะคือ ขณิก อุปจาร และอัปปันนาม

ผู้รู้ บอกว่า ขณิก ไว้ทำวิปัสนา

อุปจาร ไว่เล่นฤทธิ์

แล้วก็อัปปันนา เอาไว้เข้าฌาน   น่ะ
 ;D





หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 03, 2010, 01:48:40 AM
แล้วเชื่อเปล่าล่ะครับ...


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 03, 2010, 02:07:36 AM
 ;D


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: Looneytunes ที่ ตุลาคม 27, 2010, 01:35:31 AM
เข้ามาเจอเว็บนี้โดยบังเอิญ รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ ข้อมูลมีประโยชน์มากๆ ปกติชอบทำบุญและปฏิบัติธรรมด้วย ไม่ทราบว่าอยากจะขอเอาข้อมูลไปเผยแพร่ต่อได้มั๊ยคะ  :)


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: AVATAR ที่ ตุลาคม 27, 2010, 12:47:35 PM


สำหรับผมให้นำไปเผยแพร่นะครับ...ธรรมอันดำเนินหนทางให้สู่ความพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าอันประเสริฐแล้ว...

ว่าอย่างไรดีครับ...น้องกอล์ฟ ?


...สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ : การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ...

 

 


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: the suffering ที่ ตุลาคม 27, 2010, 11:02:40 PM
กามตัณหา-อยากมี

ภวตัณหา-อยากเป็น

และวิภวตัณหา-ไม่อยากมีไม่อยากเป็น

นั่น

อันเดียวกับ โลภ โกรธ หลง.. ;D


หัวข้อ: Re: อุโบสถศีล ศีลแห่งความสุขทั้งปวง
เริ่มหัวข้อโดย: simma557 ที่ เมษายน 22, 2011, 09:19:48 PM
สาธุอนุโมธามิ