KAMMATAN.COM BOARD พุทธกรรมฐาน สติปัฏฐาน4 ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา แจกCDธรรมะ พาเที่ยววัด กรุณา Login เพื่อมองเห็นกระทู้ เพิ่มขึ้น ครับ

ธรรมมะกับมนุษย์ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์สายวิปัสสนากรรมฐาน => ธรรมมะจากพระสงฆ์ สุปฏิปันโน เป็นข้อคิด และแนวทาง เพื่อเป็นแรงใจในการปฏิบัติภาวนา => ข้อความที่เริ่มโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 11, 2016, 06:45:54 AM



หัวข้อ: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 11, 2016, 06:45:54 AM
(http://kammatan.com/gallary/images/20160311064540_luangpor_suchart.jpg)

...อย่าหลงไปคิดว่า
"มีปัจจัย" ดูแลร่างกายมากๆแล้ว
จะทำให้ "ใจมีความสุข"
ตามไปด้วย
.
...มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ต่อให้..สร้างพระราชวังขึ้นมา
"ใจก็ยังร้อนเป็นไฟได้"
.
...ถ้า "ยังมีตัณหาทั้ง ๓ อยู่"..
(กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)
..........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 20/5/2550
(กำลังใจ 32)
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 28, 2016, 05:42:27 PM
...ถาวรวัตถุต่างๆที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้
เป็น "เปลือกของศาสนา"
ไม่ใช่ "แก่นของศาสนา"
.
..แก่นอยู่ที่ตรงไหน
แก่นของศาสนาอยู่ที่
"ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ"
• ปริยัติ แปลว่า การศึกษาพระธรรม
คำสอนของพระพุทธเจ้า
• ปฏิบัติ คือ การปฏิบัติตามที่
พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ
• ปฏิเวธ ก็คือการได้บรรลุผลตามที่ปฏิบัติ
.
...นี่คือ "แก่นของพระพุทธศาสนา"
ที่ห่างหายไปจาก พระพุทธศาสนา
ในประเทศไทย มีอยู่บ้าง..
มีจำนวนน้อย มีอยู่กับพระที่เรียกว่า
...สายพระป่าเป็นส่วนใหญ่...
................................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 5/6/2557
PhraSuchart Abhijato
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 30, 2016, 07:44:52 PM
...ขณะที่จิตสงบก็ปล่อยให้สงบไป
ไม่ต้องไปทำอะไร
เป็นเวลาที่จิตต้องการพักผ่อน
เสริมสร้างพลัง
.
...สงบได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี
ถ้าเป็นจิตที่ผาดโผน
เวลาสงบแล้วจะไม่นิ่งไม่อยู่เฉยๆ
จะออกไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ
.
...ในเบื้องต้นควรดึงกลับมา
"อย่าตามไป"
เพราะถ้าตามไปแล้วจะติดใจ
จะติดเป็นนิสัย พอนั่งทีไร
ก็อยากจะไปเที่ยวไปดูสวรรค์นรก
ไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆ
ที่ค่อนข้างจะแปลกและมหัศจรรย์
.
...แต่ "ไม่เกิดประโยชน์"
ทางด้าน "กำจัดกิเลสตัณหา"
ไม่ช่วยให้การบำเพ็ญของเรา
บรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง
คือ..มรรคผลนิพพาน..
..........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 30, 2016, 07:49:07 PM
(http://kammatan.com/gallary/images/20160330194751_luangpor_suchart.jpg)


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 06, 2016, 11:08:49 AM
“สิ่งที่ผู้ดวงตาเห็นธรรมมองเห็น”

สิ่งที่ผู้มีดวงตาเห็นธรรมจะเห็นกัน ขั้นแรกจะเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของร่างกาย ทุกข์เพราะอยาก ไม่ให้มันเป็นอนิจจัง ไม่อยากให้มันเป็นอนัตตา อยากจะให้มันเป็นนิจจัง เป็นอัตตา นิจจังก็คืออยาก จะให้มันหนุ่มสาวไปตลอดไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อัตตาก็คืออยากจะให้มันอยู่ภายใต้ คำสั่งให้มันเป็นหนุ่มเป็นสาว ไปตลอดไม่ให้มันแก่ ไม่ให้มันเจ็บ แต่มันฝืนความจริงฝืนธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตาย ท่านจึงสอนให้เราหมั่นพิจารณาร่างกายอยู่เรื่อยๆว่า ร่างกายนี้เกิดมาแล้ว ต้องแก่เป็นธรรมดา ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ต้องตายไปเป็นธรรมดา เพราะถ้าเราไม่สอนนี้ความหลง มันจะมาสอนอีกทางหนึ่ง

ความหลงมันจะสอนว่ามันไม่แก่หรอก มันจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันไม่มีวันที่จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรอก มันไม่มีวันจะตายหรอก มันจะคิดอย่างนี้ หรืออย่างน้อยมันก็จะหลงคิดว่า มันจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะลืมคิดไปนั่นเอง คนหนุ่มคนสาวนี้เวลาทำมาหากินนี้เขาไม่มีเวลา มาคิดถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายกัน เขาก็เลยคิดว่าเขาไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายกัน แต่พอความจริงมาปรากฏนี้ก็ตกใจกัน พอดูกระจกทำไมผมมันเริ่มมีหงอก ทำไมหนังมันเริ่มเหี่ยวแล้ว ทำไมมันเริ่มรู้สึกเจ็บตรงนั้นปวดตรงนี้แล้ว อันนี้มันก็จะทำให้มันตกใจทันทีเพราะว่าไม่ได้คอยสอนใจ คอยเตือนใจไว้ล่วงหน้าก่อน ว่าต่อไปร่างกายจะต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าคอยสอนใจไว้ล่วงหน้าก่อน พอเวลาร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ หรือร่างกายจะต้องตายไปนี้ มันจะทำใจได้ มันจะทำใจยอมรับความจริงได้ ทำใจให้สงบเป็นอุเบกขาได้ เพราะรู้ว่าต่อต้านไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

คนที่ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายจนยอมรับได้แล้วนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วหมอบอกว่า เป็นมะเร็งรักษาไม่ได้ขั้นสุดท้าย จะทำใจได้จะไม่เดือดร้อนจะไม่ทุกข์กับความตายเพราะว่ามีปัญญา มีปัญญาก็คือรู้ว่าร่างกายนี้เป็นอนิจจังไม่เที่ยง มีเกิดแล้วก็ต้องแก่เจ็บตายเป็นอนัตตาห้ามมันไม่ได้สั่งมันไม่ได้ แต่จะไม่ต้องทุกข์กับมันได้ถ้ายอมรับความจริงแล้วก็ทำใจให้เป็นอุเบกขา ปล่อยวาง การทำสมาธิจึงสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่มีอุเบกขาก็ปล่อยไม่ได้ ถึงแม้รู้ว่าจะต้องตายและอยากจะปล่อย แต่ก็ไม่รู้จักวิธีปล่อย ความอยากมันจะคอยดิ้นอยู่เรื่อยๆ คอยอยากอยู่เรื่อยๆ อยากไม่ตายอยู่เรื่อยๆ มันก็จะทุกข์ทรมาน แต่ถ้าเราเจริญมรรคกันฝึกทำสมาธิกัน ทำใจให้เป็นอุเบกขาให้ได้กัน แล้วก็หมั่นสอนใจว่า ร่างกายจะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตายกัน พอถึงเวลาที่เราจะต้องเผชิญกับความตาย เราก็จะได้ไม่ต้องทุกข์ กับมันเราจะทำใจให้เป็นอุเบกขาและเราจะไม่สร้างความอยากต่างๆ ขึ้นมา เพราะความอยากนี้ จะทำให้เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา

นี่คือการมีดวงตาเห็นธรรม เห็นจากการปฏิบัติไม่ใช่เห็นจากการฟังเช่นตอนนี้หรือการนำเอาไปคิดเฉยๆ คิดเฉยๆ ฟังเฉยๆนี้ ยังทำใจไม่ได้เพราะยังไม่มีสมาธิ แต่ถ้ามีสมาธิแล้วฟังธรรมตอนนี้แล้วจะทำใจได้เลย อย่างพระอัญญาโกณฑัญญะตอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอริยสัจสี่ให้ฟัง พระอัญญาโกณฑัญญะ มีสมาธิแล้ว ท่านได้ฝึกจิตจนเข้าฌานได้แล้วมีอุเบกขาแล้ว พอพระพุทธเจ้าแสดงเรื่องอริยสัจสี่ให้ฟัง ท่านก็ทำใจได้ ยอมรับความแก่ ยอมรับความเจ็บ ยอมรับความตายได้ ใจของท่านก็ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตายของร่างกายอีกต่อไป พระพุทธเจ้าจึงบอกอัญญาโกณฑัญญะเธอรู้แล้วหรอ เธอเข้าใจแล้วหนอ เธอทำใจได้แล้ว เธอไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตายแล้ว เธอเห็นแล้วว่าความกลัวเกิดจากความหลง เกิดจากความอยากให้ร่างกายที่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายนี้ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เธอยอมรับความจริงของร่างกาย ยอมให้มันแก่ ให้มันเจ็บ ให้มันตายไป การฟังธรรมที่ไม่บรรลุกันทุกวันนี้ก็เพราะจิตไม่มีสมาธิกัน ถ้ามีสมาธิแล้วรับรองได้ว่าถ้าเป็นธรรมแท้นี้แล้วแสดงออกไปนี้ แล้วผู้ฟังนี้มีปัญญาที่จะพิจารณาตามเหตุตามผล ของธรรมที่แสดงไว้ได้นี้จะบรรลุได้ในขณะที่ฟังธรรมเลย จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจในสมัยพระพุทธกาล ที่ในแต่ละครั้ง ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมากๆ พร้อมๆกันเลย เพราะในแต่ละครั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้ ท่านมักจะเลือกคนฟังท่านมักจะไปแสดงให้กับคน ที่มีสมาธิก่อน คนที่ยังไม่มีสมาธินี้ท่านบอกว่าเอาไว้ก่อน พวกนี้พวกหัวทื่อหัวต้องใช้เวลามาก ตอนนี้เวลาน้อยไปเอาพวกที่หัวแหลมหัวฉลาดพวกที่มีภูมิมีสมาธิพร้อมที่จะรับธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ตรัสรู้ทรงได้เห็นคือพระอริยสัจสี่

พอแสดงกับพวกที่มีสมาธินี้ก็หลุดพ้นกันเป็นทั้งฝูงเลย มีไปแสดงธรรมที่สำนักแห่งหนึ่ง มีนักบวชอยู่ ๕๐๐ รูป พวกนี้มีฌานมีสมาธิกันทั้งนั้นพอทรงแสดงอริยสัจสี่ให้เขาฟัง เขาเข้าใจเขาก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปพร้อมๆกันไปเลย นี่คือเรื่องของการมีครูบาอาจารย์มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นที่นำทาง พาให้เราไปสู่การหลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราสามารถน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาสู่ใจของเราได้ก็คือการปฏิบัติมรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา หรือทาน ศีล ภาวนา ถ้าเรามีครบองค์ประกอบมีทาน มีศีล มีสมาธิ มีปัญญาพอฟังธรรมปั๊บก็จะมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาทันที แล้วธรรมนี้แหละจะอยู่ติดไปกับใจจะไม่มีวันหลงไม่มีวันลืม เรื่องอะไรเหตุการณ์ต่างๆ ชื่อคนนั้นชื่อคนนี้การไปอยู่สถานที่นั่นสถานที่นี้เราลืมได้เพราะมันเป็นสัญญา แต่อริยสัจสี่นี้ไม่เป็นสัญญา เรียกว่า เป็นสัจจธรรมเป็นความจริงเป็นปัญญา

ปัญญานี้จะไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหายไปจากใจ ถ้าลองเข้าไปตั้งอยู่ในใจแล้วจะอยู่กับใจไปตลอดถึงแม้ว่าร่างกายนี้ จะตายไป แล้วไปเกิดใหม่จะไม่ลืมอริยสัจสี่ แต่จะลืมว่าชาติก่อนชื่ออะไรอยู่กับพ่อแม่ มีพ่อแม่ชื่ออะไร มีฐานะอะไร พูดภาษาอะไรนี้ลืมได้ แต่อริยสัจสี่นี้ไม่ลืม พอไปเกิดใหม่นี้ก็จะปฏิบัติต่อ พอมีความทุกข์ใจ ก็จะพิจารณาว่ามันเกิดจากความอยากอะไร ถ้าเป็นขั้นสกิทาคามี อนาคามีมันก็จะไปทุกข์กับกามารมณ์ นั่นแหละ กามราคะเพราะมันอยากจะเสพกามอยู่ ยังเห็นร่างกายของผู้อื่นว่าสวยงามน่ารักน่าชม น่าร่วมหลับนอนด้วยก็ต้องใช้การพิจารณาอสุภะ ถ้าเป็นคนตายแล้วยังน่ารักน่าชมอยู่หรือเปล่า ถ้าเขาไม่หายใจแล้วยังอยากจะนอนกับเขาหรือเปล่า ถ้าเรามองเห็นตับไตไส้พุงเห็นหัวใจเห็นปอดเห็นลำไส้ เห็นโครงกระดูกของเขานี้เรายังอยากจะร่วมหลับนอนกับเขาอยู่หรือเปล่า ผู้ที่จะกำจัดกามราคะกับปฏิฆะนี้ ก็ต้องเจริญอสุภะ แล้วต้องไม่มีใครสอนพวกนี้ถึงจะเป็นคนแปลกว่าคนอื่นไง คนพวกนี้มักจะเป็นคนที่เเปลก กว่าคนทั่วไป เพราะเขาเป็นพระอริยเจ้า เขาไม่ได้เป็นปุถุชน ปุถุชนนี้จะมองตรงกันข้ามกัน ปุถุชนนี้ อยากจะมองแต่ภาพสวยๆ งามๆ ดูหนังสือนิตยสารที่เขาพิมพ์ออกมาจำหน่ายกันนี้ มีพิมพ์ภาพของซากศพ มาจำหน่ายกันบ้างไหม ถ้าพิมพ์ก็ไม่มีใครซื้อเจ๊งแน่ๆ มีแต่หานางงามนางแบบมาติดหน้าปกกัน เสริมความงาม เสริมด้วยเครื่องสำอาง เสริมด้วยการทำเผ้าทำผมเสริมด้วยการแต่งกายหรือเปลือยกาย อันนี้เป็นสิ่งที่ปุถุชนชอบกันรักกัน ชอบดูภาพเหล่านี้หนังสือพวกนี้ถึงขายแบบเทน้ำเทท่า พิมพ์เท่าไรก็ไม่พอขาย แต่ถ้ามาพิมพ์อสุภะมาพิมพ์ศพคนตายมาติดอยู่ที่หน้าหนึ่งนี้รับรองได้ว่าเจ๊งไม่มีใครซื้อ

พระอริยเจ้าท่านจึงเป็นคนที่แปลกกว่าคนธรรมดา ท่านมักจะไปชอบดูความตายกัน มักจะชอบไปดูอสุภะกัน มักชอบไปอยู่ที่เงียบๆ ไม่ชอบยุ่งกับใคร ถ้าเป็นคนอย่างนี้แสดงว่าเป็นอริยเจ้ามาตั้งแต่ชาติก่อนแล้วก็ได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นคนที่ชอบทำใจให้สงบชอบนั่งสมาธิ ชอบรักษาศีล ชอบอยู่คนเดียว นิสัยเหล่านี้มันจะติด ไปกับใจ มันจะไม่ลืมเหมือนกับนิสัยชั่วมันก็จะติดไปกับใจ ถ้าชอบกินเหล้ามันไปเกิดใหม่ มันก็จะไปหาเหล้ากิน ถ้าชอบเที่ยวกลางคืน มันก็จะไปเที่ยวกลางคืน ชอบเล่นการพนันมันก็จะไปเล่นการพนัน ชอบกินเหล้าเมายา ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตชอบโกหกหลอกหลวงชอบประพฤติผิดประเวณีนี้มันก็จะติดไปกับใจ มันเป็นนิสัย เป็นสันดาน แต่พระอริยเจ้านี้ท่านจะมีนิสัยที่ชอบทำทาน รักษาศีล ภาวนา ท่านจะชอบพิจารณาธรรมต่างๆ ชอบพิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ชอบพิจารณาอสุภะ ความน่าเกลียดน่ากลัวของร่างกาย ความไม่สวยไม่งามของร่างกาย สิ่งเหล่านี้มันจะติดไปกับใจของผู้ปฏิบัติ

ดังนั้นพอผู้ใดมีดวงตาเห็นธรรม เห็นอริยสัจสี่แล้วก็ถือว่ามีครูบาอาจารย์อยู่ภายในใจแล้ว ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ อยู่นอกใจมาช่วยก็สามารถที่จะบำเพ็ญเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ด้วยตนเอง อาจจะช้าหน่อย แทนที่จะเป็นชาตินี้ก็อาจจะเป็นสัก ๗ ชาติถ้าเป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นพระสกิทาคามีก็ชาติเดียว ถ้าเป็นพระอนาคามีก็ไม่ต้องกลับมาเกิด มาบำเพ็ญในสภาพของการเป็นมนุษย์ แต่ไปเกิดเป็นพรหม และบำเพ็ญในระดับของพรหม เพื่อเข้าสู่พระนิพพานได้เลย แต่ไม่ว่าจะเป็นขั้นไหนก็จะต้องมีอริยสัจสี่ทุกขั้น เพราะมันจะต้องมีความทุกข์ที่เกิดจากความอยาก แล้วมันก็ต้องมีปัญญาที่จะมาละตัณหาความอยาก เพื่อที่จะดับความทุกข์ของใจ ถึงจะก้าวขึ้นสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปได้ตามลำดับ

ทุกขั้นจะต้องมีความทุกข์ ทุกขั้นจะมีตัณหาความอยาก ขั้นสกิทาคามี อนาคามีก็มีกามราคะความอยากในกาม ก็ต้องละให้ได้ จะละกามราคะได้ก็ต้องการพิจารณาอสุภะ พิจารณาดูส่วนที่ไม่สวยไม่งามของร่างกาย เช่นเวลาร่างกายแก่ เวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาร่างกายตายนี้คนที่ทำงานโรงพยาบาลนี้ เห็นคนไข้แล้ว เกิดกามารมณ์ไหม ไม่ค่อยเกิดกันหรอก เพราะหน้าตาก็ไม่น่าดูอยู่แล้ว หน้าตาบึ้งตึง ผมเผ้าก็ไม่ได้หวี หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง มีแต่บ่นมีแต่ร้องโอดครวญครางเห็นแล้วเกิดกามารมณ์ได้ไหม นั่นแหละให้เรานึกถึง ภาพเหล่านั้น หรือเวลาคนไข้ตายแล้วเป็นอย่างไรมีกามารมณ์ไหม นี่คืออสุภะให้มองภาพ ที่มันทำให้เราดับกามารมณ์ได้ แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ มาหงุดหงิดกับเวลามีกามารมณ์
เวลามีกามารมณ์นี้ถ้าไม่ได้เสพมันหงุดหงิดมันรำคาญ มันจะพาลไปหมด มันจะด่าคนนั้นว่าคนนี้ เพราะว่ามันหงุดหงิดมันมีความอยากจะเสพกามแล้วยังไม่ได้เสพ แต่พอมันได้เสพแล้วความหงุดหงิดนั้น ก็หายไปชั่วคราว แต่มันไม่หายไปอย่างถาวร เดี๋ยวความอยากจะเสพกามก็กลับขึ้นมาใหม่

วิธีที่จะทำให้ไม่เสพกามก็ต้องใช้อสุภะไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่อยากจะเสพกามก็นึกถึงอสุภะไม่ว่าจะเป็น ร่างกายของคนแก่ คนเจ็บ คนตายหรือดูเข้าไปข้างในของร่างกาย ดูส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง เช่นเนื้อ เอ็น กระดูก ม้าม ลำไส้ ตับ ปอด อะไรอย่างนี้โครงกระดูกอย่างนี้ดูมันเข้าไป ระลึกถึงมันอยู่เรื่อยๆ แล้วรับรองได้ว่า ความอยากจะเสพกามนี้มันจะหายไป แล้วความหงุดหงิดใจก็จะหายไป แล้วความอยากจะเสพกาม มันก็จะเบาลงไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เราต้านมันเราไม่ทำตามความอยากได้ ความอยากนั้นก็จะอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็จะหายไปหมดเลย แล้วก็จะอยู่อย่างสบายไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกต่อไป

การที่ยังต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์มาเป็นเทวดาเพราะยังมีกามนี่เอง ถ้าเป็นเทวดาก็เสพรูปเสียงกลิ่นรสทิพย์กัน ถ้าเป็นมนุษย์ก็เสพรูปเสียงกลิ่นรสหยาบของมนุษย์กัน แต่ถ้าไม่มีกามารมณ์แล้วก็ไม่ต้องเสพ ใจสงบอยู่ในสมาธิ อยู่ในความสงบ อยู่กับความสุขที่เหนือกว่าความสุขที่ได้จากการเสพกามนั่นเอง แต่ความสงบสำหรับพระอนาคามีนี้ก็ยังมีตัณหาความอยาก อยากจะให้มันสงบ แต่ความสงบของสมาธินี้ ก็ยังเป็นความสงบที่ไม่ถาวร มีการเสื่อมได้เวลาเสื่อมถ้าอยากจะให้มันไม่เสื่อมก็จะเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ท่านเรียกว่า รูปราคะ ติดในฌานในรูปฌาน อรูปราคะ ติดในอรูปฌาน อยากจะให้ฌานคือความสงบนี้ สงบไปเรื่อยๆ ไม่มีวันเสื่อม แต่มันยังเป็นไตรลักษณ์อยู่เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา ห้ามมันไม่ได้ ห้ามมันไม่ให้เสื่อมไม่ได้ พอมันเสื่อมก็อยากจะให้มันสงบก็ต้องเพิ่งกำหนดจิตให้มันนิ่งอีก จิตมันก็ยังต้องทำงานเพื่อให้มันสงบก็ยังเป็นความสุขที่ไม่ใช่ความสุขที่เป็นธรรมชาติที่แท้จริงเป็นความสุข ที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาด้วยสติ อันนี้ก็ต้องรู้จักวิธีกำจัดก็คืออย่าไปอยากให้มันไม่สงบเวลามันจะเสื่อม ก็รู้ว่ามันเสื่อม เวลามันไม่เสื่อม เวลามันเจริญก็รู้ว่ามันเจริญแต่ต้องรู้ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ แล้วอย่าไปอยากให้มันเป็นนิจจัง สุขัง อัตตาปล่อยวางมันไปตามเรื่องของมันไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ไม่ต้องไปสนใจมันแล้วต่อไปจิตก็สงบโดยที่ไม่ต้องมีฌานเป็นตัวทำให้สงบ สงบเพราะไม่มีความอยาก

ความสงบที่ไม่มีความอยากนี่แหละเป็นความสงบที่แท้จริง จิตที่ไม่สงบก็เพราะเกิดความอยากขึ้นมา จึงต้องทำสมาธิกันเพื่อทำให้จิตสงบ กดความอยากเอาไว้ แต่ความอยากก็ไม่ได้ตายด้วยการกดด้วยสมาธิ พอกำลังของสติอ่อนลงมันก็จะความอยากก็จะโผล่ขึ้นมาใหม่มันก็จะมาทำลายความสงบให้หายไป แต่ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาว่าความสงบที่ถูกทำลายไปนี้ ถูกทำลายไปด้วยตัณหาความอยากก็อย่าไปอยากมัน ถ้าจิตไม่สงบก็รู้ว่ามันไม่สงบให้สักแต่ว่ารู้ไป “จิตสงบก็รู้ว่าสงบ มันไม่สงบก็รู้ว่ามันไม่สงบ รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของจิตที่จะต้องขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” พอเข้าใจหลักนี้ แล้วต่อไปเวลาจิตจะสงบหรือไม่สงบก็ไม่วุ่นวายไปกับมันก็สักแต่ว่ารู้ไป พอไม่วุ่นวายไปกับมันจิตก็สงบ ใจก็สงบอย่างแท้จริง เพราะไม่มีความอยากให้มันสงบหรือไม่สงบ “พอไม่มีความอยากมันกลับสงบของมันเอง แต่พอมีความอยากมันกลับไปทำให้มันไม่สงบ” อันนี้ปริศนาลองไปปฏิบัติดูแล้วจะเข้าใจ.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙

“ที่พึ่ง ๒ ส่วน”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 23, 2016, 08:46:39 PM
“ทางของพระพุทธเจ้านี้ตรงที่สุดแล้ว”

ไม่ถามทางลัดหรอ หาเจอหรือยัง?? ทางลัดเจอแล้วแต่ไม่ยอมเดิน แล้วจะมีลัดกว่านี้อีกหรอ ไม่มีแล้ว ทางระหว่างจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งนี้ทางสั้นที่สุดคืออะไร “ทางตรง” ใช่ไหม??? เส้นตรงใช่ไหม เส้นตรงคือทางที่สั้นที่สุด ถ้าเส้นมันโค้งมันเว้านี้มันจะยาวขึ้นไป ดังนั้นทางของพระพุทธเจ้านี้ตรงที่สุดแล้ว สวากขาโต ภควตา ธัมโมนี้ ธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วตรงกับความจริงทุกประการแล้ว ไม่มีอะไรจะตรงกว่านี้แล้ว จะให้สั้นกว่านี้ไม่มีแล้วนะ อย่าสงสัย อย่าลังเล โอกาสนี้หายากนะ เป็นเหมือนรถไฟขบวนสุดท้ายแล้ว สงกรานต์จะนั่งรถกลับบ้านกันรีบขึ้นรถเสีย เดี๋ยวรอคันโน้นคันนี้เดี๋ยวพอไปเจอคันสุดท้ายแล้ว ไม่ขึ้นก็ต้องเดินกลับบ้านนะ

ตอนนี้มีพระพุทธศาสนาเป็นรถไฟพาเราไปพระนิพพานกัน ถ้าเรามัวแต่เปลี่ยนคันโน้นรอคันนี้ รอเวลานั้นรอเวลานี้ เดี๋ยวเกิดเราตายไปเสียก่อนก็เหมือนกับจะไม่ได้ขึ้นรถไฟ ให้ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ ระลึกถึงเทวทูต ๔ อยู่เรื่อยๆ ความแก่มันขยับเข้ามา ความแก่นี้มันเหมือนกับอะไรรู้ไหม เหมือนกับงูที่เขมือบเหยื่อ เคยเห็นงูกินเหยื่อไหม มันไม่ได้กินเหมือนเรากินข้าวตักฟืดเข้าไปเลย มันค่อยๆ เขมือบเข้าไปทีละนิดๆ กบ ค้างคกนี้มันค่อยๆ เอาเข้าไปทีละนิดๆ พอเผลอแป๊บ อาว..หายไปหมดแล้ว กินเข้าไปหมดแล้ว ร่างกายก็แบบเดียวกัน มันค่อยๆ แก่ลงไปทีละนิด ดูทุกวันมันดูไม่ออกหรอก แต่ลองไปดูภาพที่ถ่ายมาเมื่อสัก ๑๐ ปีซิ กับภาพนี้ ภาพตอนที่เกิดมา ไปดูเด็กทารกคิดถึงตอนที่เราเป็นทารก กับตอนนี้เป็นอย่างไร แล้วตอนนี้ก็ไปดูงานศพ ไปดูคนตายแล้วก็ดูว่า ต่อไปเราก็จะต้องเป็นอย่างนี้ มันจะได้ทำให้เกิดมีความขวนขวายกระตือรือร้นขึ้นมา ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ประมาทนอนใจ เวลามีน้อยไม่รู้จะหมดเมื่อไหร่

พวกเราเหมือนได้ตั้งระเบิดเวลากันไว้แล้ว ไม่รู้ว่าร่างกายของเรามันจะระเบิดเวลาไหนกัน บางคนก็อาจจะระเบิดวันนี้ บางคนก็อาจจะพรุ่งนี้ บางคนก็เดือนหน้าปีหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเราตั้งเวลากันไว้เท่าไหร่ ตอนไหน เวลาที่เราตั้งก็เกิดจากบุญบาปที่เราทำนี้แหละ จากการกระทำของเราต่างๆ นี้มันเป็นเหมือนกับตัวตั้งนาฬิกาของเรา ถ้าเราดื่มสุรา สูบบุหรี่นี้ก็ตั้งเวลาให้มันเร็วขึ้น ถ้าเราไม่ดื่มสุราไม่สูบบุหรี่นี้ ก็ทำให้เวลามันยาวออกไป การกระทำของเรานี้แหละเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา ให้สั้นหรือให้ยาวหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เรื่องของเหตุปัจจัยเหนือวิสัยที่เราห้ามไม่ได้บังคับไม่ได้ เช่นภัยธรรมชาติต่างๆ อุบัติภัยต่างๆ โรคระบาดหรืออะไรต่างๆ เหล่านี้มันก็เป็นเรื่องที่มันไม่ได้อยู่ภายในการกระทำของเรา แต่เราก็ไปกำหนดไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ วันดีคืนดีไปติดโรคอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปกินอะไรเข้าไปเอาไว้รัสอะไร เข้ามาในร่างกายก็ได้ ไปหาหมอ หมอลืมทำความสะอาดเครื่องมือ ไปเอาเชื้ออะไรมาใส่เราก็ได้ มันมีโอกาสที่จะทำให้ชีวิตเราสั้นลงและหมดไปได้อย่างรวดเร็ว เราต้องคิดเรื่องราวเหล่านี้ มันถึงจะทำให้เรากระตือรือร้นขึ้นมา

ถ้าเราคิดว่า เอ..เราเคยอยู่อย่างนี้มาเราก็จะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันคิดแบบนี้เรียกว่า คิดแบบประมาท เพราะเหตุปัจจัยต่างๆมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปัจจัยที่มันทำให้เราอยู่ในวันนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ มันอาจจะทำให้เราตายพรุ่งนี้ก็ได้ เราต้องหมั่นคิดอย่างนี้ หมั่นระลึกถึงเทวทูต ๔

ที่นี่แน่นอนคือความแก่นี้มันแก่ลงไปเรื่อยๆ ความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่แน่นอน แล้วแต่เหตุปัจจัยต่างๆ ความตายก็ไม่แน่นอน จะตายเร็วตายช้า ตายยากตายง่ายมันก็ไม่มีใครรู้ เราไม่ควรที่จะรีรอ ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พอเห็นเทวทูต ๔ แล้วก็เตรียมตัวออกจากวังเลย เตรียมไปปฏิบัติไปปรับใจ ให้ไม่มาทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ให้ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป อันนี้ทำได้เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้

อย่างเมื่อกี้ โยมที่เขาเล่าว่า พอไปฝึกสติเขาก็เห็นว่ามันทำได้ มันไม่ใช่ของยากเย็นอะไร มันก็เหมือนกับ กีฬาหัดเล่นกีฬา ถ้าไม่เคยเล่นก็ยาก ลองไปตีกอล์ฟดูสิ ไม่เคยตีมันก็ยาก ไปเล่นบิลเลียดไปเเทงบิลเลียด แทงไม่เป็นมันก็ยาก ไปเล่นเทนนิสมันก็ยาก มันยากทั้งนั้นเพราะเราไม่เคย แต่พอเราไปฝึกไปหัดไปเรียน ไปทำต่อไปมันก็ง่ายขึ้นมาเอง ฉันใดการปฏิบัติธรรมนี้ก็เป็นของที่มันก็เหมือนกับการเล่นกีฬานี่แหละ พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกท่านทำได้ เราก็ทำได้ เพราะท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา ท่านก็ไม่ได้มี ความวิเศษวิโสอะไรมากไปกว่าเรา มีอาการ ๓๒ เหมือนกัน มีตา หู จมูก ลิ้น กายเหมือนกัน มีสติ มีปัญญาเหมือนกันก็อยู่เราเท่านั้นแหละว่าเราจะขวนขวายเราจะเอาไม่เอาเท่านั้นเอง

ถ้าเราไม่เอาก็ช่วยไม่ได้ เหมือนกับเทน้ำใส่แก้วที่มันคว่ำอยู่นี้ เทไปเท่าไหร่มันก็เก็บน้ำไม่ได้แม้แต่หยดเดียว มันต้องหงาย ถ้าหงายแล้วเทเท่าไหร่มันก็จะได้หมด ธรรมที่เราจะได้ก็เหมือนกันถ้าเราขวนขวาย เราอยากได้มันก็จะได้ ถ้าเราไม่ขวนขวายไม่อยากได้ มันก็จะไม่ได้ ไม่ได้อยู่ที่ใครอยู่ที่เรา และสิ่งที่จะทำให้เรา เกิดการขวนขวายขึ้นมา ก็คือการระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย การระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า การระลึกถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย มันก็จะเป็นสิ่งที่จะทำให้จุดประกาย ความขวนขวายขึ้นมาได้ ทำให้เราไม่ประมาทนอนใจ ให้เรารีบตักตวงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง คือการได้มาเจอพระพุทธศาสนาและได้เป็นมนุษย์ต้องเป็นทั้งมนุษย์ และต้องพบกับพระพุทธศาสนาจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ ยกเว้นถ้าเป็นเทวดาแล้ว มีพระอริยเจ้าที่สามารถสั่งสอนเทวดาได้ ซึ่งมันก็น้อยกว่าพระอริยเจ้าที่ไม่ได้สั่งสอน ก็ต้องไปรอให้ท่านสั่งสอน แต่ถ้าเรามาเจอพระที่มีความสามารถสอน พูดภาษาของเราได้ เราก็รีบที่จะขวนขวาย ชาวต่างประเทศเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ เขายังอุตส่าบินมาเมืองไทยเพื่อมาศึกษามาปฏิบัติเลย เรากลับบินไปบ้านเขา ไปเที่ยวบ้านเขา เขากลับเบื่อบ้านเขา เขาไม่อยากจะเที่ยวบ้านเขา เรากลับชอบไปเที่ยวบ้านเขา เขากลับชอบมาปฏิบัติที่บ้านเรา

เพราะทัศนคติมองไม่เห็นกัน เขามองเห็นเพชรในบ้านเรา เรากลับไปเห็นตัวหนอน ไส้เดือนในบ้านเขา เราชอบกินตัวหนอนไส้เดือน พวกไก่ได้พลอย พอเจอพลอยก็เขี่ยทิ้งๆ หาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือน หนอนไส้เดือนก็รูปเสียงกลิ่นรสนี่แหละ ไปบ้านเขาจะได้เห็นรูปเสียงกลิ่นรสแปลกๆ ต่างจากที่รูปเสียงกลิ่นรสที่เราเห็นจำเจอยู่ที่บ้านเรา พอได้ไปเที่ยวบ้านคนอื่นประเทศอื่นแล้ว แหม...รู้สึกตื่นเต้นดีใจกัน แต่ให้ไปอยู่สักพักก็เบื่อ เดี๋ยวมันเห็นสักพักมันก็จำเจ.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๙

“ขึ้นรางวัล”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 25, 2016, 09:18:15 AM
...ของทุกอย่างในโลกนี้
มันเป็นของชั่วคราว
.
...เหมือนอยู่ในความฝัน
เมื่อคืนนี้นอนหลับแล้วฝันว่า
เราเป็นโน่นเป็นนี่มีโน่นมีนี่
.
...พอตื่นขึ้นมาหายไปหมดแล้ว
สิ่งที่เรามีอยู่เป็นอยู่ทุกวันนี้
"เดี๋ยวมันก็หายไปหมด"
.
...เดี๋ยวร่างกายก็หายไป
เดี๋ยวร่างกายก็กลายเป็นขี้เถ้าไป
สมบัติที่หามาได้
ก็กลายเป็นของคนอื่นไป
..เอาอะไรไปไม่ได้..
........................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 28, 2016, 10:45:38 AM
..มันต้องเห็น"ไตรลักษณ์"
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แล้วมันก็จะ..เบื่อหน่าย
มันจะ.."ไม่อยากได้"
.
...ได้อะไรมาก็ต้อง "ทุกข์" เอามาทำไม
แต่ไม่เห็นเอง..มันตาบอด
ได้อะไรก็คิดว่า..จะได้ความสุขใช่ไหม
.
...ได้ภรรยาก็คิดว่า..จะได้ความสุข
ได้สามีก็คิดว่า..จะได้ความสุข
แต่.."ไม่เห็นทุกข์ที่ตามมา"ด้วย
.
...ชอบมองเหรียญด้านเดียว
ไม่ยอมมองอีกด้านหนึ่งกัน
"มองแต่ด้านบวก"
"ไม่ยอมมองด้านลบ"
.
...คนเขาก็เลยกล่าวหาว่า..ศาสนาพุทธนี้
เป็นศาสนาที่มองแต่.."ด้านลบ"
อ้าว..ก็ต้องมอง..ด้านลบบ้างซิ
มันจะได้.."เห็นความจริงครบถ้วน"
.
...พวกเรา..มองแต่ด้านบวกเพียงด้านเดียว
มันก็เลยถูก.."ความหลง"หลอก
ทำให้เกิด.."ความทุกข์ขึ้นมา"เวลา
...ไปเจอความจริงเข้า...
....................................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 4/8/2556
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ เมษายน 28, 2016, 11:58:26 AM
“พระแท้ พระเทียม” (ยาวหน่อย แต่ควรอ่านให้จบ)

ปัญหาต่างๆเรื่องราวต่างๆที่เราได้ยินได้ฟังกันนี้ ก็เกิดจากความอยากทั้งนั้น ที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งทุกวันนี้ก็มาจากความอยากทั้งนั้น ความอยากเสพกามจึงเป็นปัญหาขึ้นมา อยากเสพรูป เสียง กลิ่น รส อยากนั่งรถเบนซ์นี่ก็เป็นความอยากเสพกามนะ อยากจะนั่งเครื่องบินส่วนตัวนี้ก็เป็นความอยากเสพกาม ความอยากจะใส่แว่นตาหรูๆ ใช้กระเป๋าหรูๆใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ อันนี้เป็นเรื่องของการเสพกามทั้งนั้น นักบวชต้องไม่เสพกาม นักบวชต้องมักน้อยสันโดษสมถะเรียบง่าย ดูครูบาอาจารย์ท่านซิ ใส่แว่นตาหรูๆใช้กระเป๋าหรูๆ นั่งเครื่องบินส่วนตัวหรือเปล่า พระพุทธเจ้ามีราชรถนำขบวนหรือเปล่า พระพุทธเจ้าเวลาจาริกไปไหน ไปโปรดสัตว์โลกนี้ท่านเดินไป ท่านเดินภาวนาไป นี่แหละคือแบบฉบับพุทธังสรณังคัจฉามิ ชาวพุทธเราไม่มอง มองไม่เห็นกัน พอมาเจอพวกห่มเหลืองที่กลายเป็นผู้เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ตื่นเต้นตกใจ มีเงินมีทองเท่าไหร่ก็ประเคนไปให้หมดเลย เพราะหวังจะร่ำจะรวยจากการทำบุญ กับพระผู้วิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ แล้วท่านก็เอาไปเสพกามอย่างสบาย พอเป็นข่าวโผล่ขึ้นมาก็ตกใจกัน ก็เราเป็นคนส่งเสริมท่านเอง เอาเงินไปให้ท่านเอง เพราะหลงคิดว่าท่านเป็นผู้วิเศษ

ผู้วิเศษต้องแบบพระพุทธเจ้า แบบครูบาอาจารย์ทั้งหลาย หลวงปู่มั่นที่ท่านเป็นพ่อแม่ของพระครูบาอาจารย์ในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านอยู่อย่างไร ท่านมีรถเก๋งมีรถเบนซ์หรือเปล่า ถ้าอ่านประวัตินี้ ตอนที่ท่านอยู่เชียงใหม่ นิมนต์อาราธนาท่านลงมาจากเชียงใหม่มาโปรดญาติโยมที่อีสาน ท่านก็นั่งรถไฟมา ท่านเดินทางแบบชาวบ้าน ชาวบ้านเขาเดินทางกันอย่างไรก็เดินทางแบบชาวบ้าน เวลาที่ท่านจะไปตายที่สกลนคร เขาก็ต้องแบกท่านไปไม่มีรถ ไม่มีอะไร ไม่มีเครื่องบิน ท่านไม่ให้ความสำคัญกับร่างกาย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเสพกาม เพราะท่านรู้ว่าการเสพกามนี้มันเป็นบ่วงที่จะรัดสัตว์โลกให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในกามภพนี้เอง ผู้ที่เสพกามนี้ก็จะต้องกลับมาเกิดในกามภพ

กามภพคือภพของใคร ก็ภพของเทวดาลงมา เทวดา มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต นรกนี้เป็นผู้ที่เสพกามทั้งนั้น ผู้ที่เป็นเปรต เป็นเดรัจฉาน เป็นนรกเพราะเสพกามด้วยการทำบาป เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี โกหกหลอกลวง เสพอบายมุขต่างๆ พวกนี้ก็ต้องเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตไปตกนรก ผู้ที่เสพกามด้วยการรักษาศีลได้ ก็จะไปสวรรค์ เป็นเทพ เป็นมนุษย์ นี่เรียกว่าเป็นผู้เสพกาม
ผู้ที่ไม่เสพกามก็จะไปเป็นพรหม คือผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ผู้ที่เข้าฌาณได้ ทำจิตใจให้สงบได้ หาความสุขจากการทำใจให้สงบ พวกนี้ก็จะไปเกิดเป็นพรหมกัน พวกนี้ไม่เสพกาม นักบวชต้องไม่เสพกาม ถ้าเป็นนักบวชแล้วเสพกามนี้มันไม่ใช่นักบวชแล้ว นักเบียด ต้องบอกว่าเบียดก่อนบวชหรือบวชก่อนเบียด นี่ทั้งบวชทั้งเบียดไปด้วยกัน บวชด้วยเบียดด้วย ธรรมเนียมคนไทยก็คือต้องบวชก่อนเบียดใช่ไหม อายุครบยี่สิบก็บวช บวชแล้วก็ค่อยไปแต่งงานแต่งการ แต่สมัยนี้บวชแล้วก็เบียดไปพร้อมๆกันเลย เพราะไม่มีใครควบคุมดูแลพระเณร เพราะญาติโยมไม่รู้วิธีการปฏิบัติของพระเณรที่ถูกต้องว่าควรจะปฏิบัติอย่างไร กลับถูกพระเณรหลอกให้สนับสนุนเรื่องการเสพกามโดยไม่รู้สึกตัว ออกไปข้างนอกจีวรปลิวว่อนไปหมดนี่ เรียกว่าไปเสพกามนะ

นักบวชที่แท้จริงต้องไปเข้าป่า ต้องสำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ไปหมดที่ไหนญาติโยมไปพี่เหลืองเราก็ไปกันหมด มีถ่ายรูปมาด่ากันในหนังสือพิมพ์ก็ไม่เดือดร้อน ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร เพราะว่าไม่มีใครรู้เรื่องของพระว่าวิถีชีวิตของพระเป็นอย่างไรกัน ก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วเดี๋ยวนี้ พระออกไปข้างนอกวัดนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไปช้อปปิ้งที่โน่นที่นี่เป็นเรื่องธรรมดาไปหมดแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องตื่นตระหนก เมื่อก่อนนี้เป็นเรื่องตื่นตระหนกนะ มีพระไปโผล่ตามสถานอโคจรต่างๆ แม้แต่กิจนิมนต์พระเคร่งๆพระที่ท่านเข้มข้นท่านก็ไม่รับเห็นไหม

หลวงตาท่านไม่ให้พระรับกิจนิมนต์ ก็เพราะไม่อยากให้ออกไปข้างนอก ไม่ให้ออกไปเสพกามนั่นเอง ออกไปข้างนอกมันก็เห็นรูปฟังเสียง ได้กลิ่น มันก็เห็นรูปเสียงของฆราวาสญาติโยม เดี๋ยวมันก็เกิดกามอารมณ์ขึ้นมา กลับมาวัดก็ใจก็กว่าจะทำให้สงบได้ก็อีกหลายวัน เห็นรูปนั้นแล้วมันก็ยังติดตาติดใจอยู่อย่างนั้น ท่านจึงไม่ให้รับกิจนิมนต์ เพราะว่ามันได้ไม่คุ้มเสีย ไปโปรดญาติโยมนิดเดียว แต่ตัวเองกลับมานี้แทบจะตายเอา แทบจะต้องสึกน่ะ บางทีกลับมาอารมณ์วุ่นมากๆกว่าจะทำใจให้สงบได้ นี่พระเณรที่ยังไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์นี้ ถ้าออกไปข้างนอกนี่รับรองได้ ไม่สึกก็อยู่แบบไม่เป็นพระ ไม่สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่สำรวมกาย วาจา ใจ ใจมันก็จะสงบไม่ได้ เมื่อไม่สงบมันก็จะมีความอยาก ความโลภ

ถ้าชาวพุทธเรารู้หน้าที่ของพระ เวลาพระทำอะไรไม่ถูกเราก็ไม่สนับสนุน นี่เราไม่รู้ เรากลัวบาปกันไปหมด ท่านพูดอะไรก็เชื่อไปหมดดีไปหมด เพราะพระโกหกไม่ได้ใช่ไหม บอกว่าระลึกชาติได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าตัดกรรมได้ก็ต้องเชื่อ บอกว่าไปเที่ยวสวรรค์ไปเที่ยวนรกมาก็ต้องเชื่อ แล้วใครไปพิสูจน์ได้ว่าพูดจริงหรือพูดไม่จริง ของบางอย่างถึงแม้จะเป็นความจริงก็ไม่กล้าพูด คนที่รู้จริงเห็นจริงเขาไม่กล้าพูดหรอก ถ้าคนเชื่อก็ดีไป แต่คนไม่เชื่อก็อาจจะมา กล่าวหาได้ว่าอุตริหรือเปล่า หรือว่าถ้าพูดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ เรื่องของเดรัจฉานวิชาต่างๆนี้พูดไปแล้วมันไม่เกิดประโยชน์กับคนฟัง ทำให้คนฟังเกิดความลุ่มหลงขึ้นมาก็ไม่ควรพูด ควรจะพูดในเรื่องที่ทำให้เขาหูตาสว่าง พูดเรื่องไตรลักษณ์ พูดเรื่องอริยสัจ ๔ ถ้าจะเห็นก็ให้เห็นไตรลักษณ์ เห็นอริยสัจ ๔ แล้วจะพูดก็พูดได้เต็มปาก ไม่เป็นปัญหาไม่เป็นโทษกับใคร แต่ถ้าพูดเรื่องเดรัจฉานวิชา พูดเรื่องระลึกชาติได้หรือพูดเรื่องชาติก่อนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ชาตินี้เลยต้องมาเป็นหลวงปู่ นี่มันไม่รู้พูดไปทำไม พูดเพื่อสร้างยกตนเอง เพื่อให้มีความสำคัญให้น่าเลื่อมใสศรัทธา คนที่จะเลื่อมใสศรัทธาคนแบบนี้ก็คือคนตาบอดเท่านั้นละ คนที่ไม่รู้ธรรม คนที่รู้ธรรมเขาไม่เลื่อมใสศรัทธากับเรื่องแบบนี้หรอก

ชาวพุทธเราต้องฉลาด ต้องศึกษาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้รู้ว่าพระแท้จริงเป็นอย่างไร พระปลอมเป็นอย่างไร พระแท้ท่านอยู่อย่างไรท่านปฏิบัติอย่างไร ไม่มีใครศึกษาสนใจกันเป็นชาวพุทธแท้ๆ แต่สู้คนที่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธไม่ได้ พวกชาวต่างประเทศนี้เขาศึกษาถึงแก่นเลย เวลาเขาเข้าหาศาสนานี้เขาเข้าไปในพระไตรปิฎกเลย ศึกษาพระพุทธประวัติ ศึกษาพระธรรมคำสอน เขาจึงไม่หลงกัน เขามาเมืองไทยนี้เขามาบวช เขาไม่ได้มาเพื่อจะมาหาลาภสักการะต่างๆ

พวกเราเป็นเหมือนไก่ได้พลอย มีของดีกลับเขี่ยทิ้งไปชอบของไม่ดี ชอบตัวหนอนตัวไส้เดือน ชอบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชอบวัตถุมงคล ชอบเสกชอบเป่า ชอบฟังพระสวด พระสวดแล้วรู้สึกโอ้โหมีความสุขเหลือเกินได้บุญมาก แต่ไม่รู้ว่าสวดอะไรไม่เข้าใจความหมายเลย การสวดก็คือสวดพระธรรมคำสอนเป็นการสั่งสอน เพียงแต่ว่าไปสอนภาษาบาลีไม่สอนภาษาไทย คนฟังก็เลยไม่เข้าใจ เลยไม่ได้ปัญญา ถ้าตั้งใจฟังก็อาจจะได้สมาธิ คือเวลาฟังพระสวดแล้วตัวเองไม่ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจจดจ่ออยู่กับการฟัง ก็จะได้อานิสงส์ทำให้ใจสงบได้ แต่จะไม่ได้ปัญญา จะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติอะไรกัน สอนให้เราร่ำรวยหรือสอนให้เรายากจน ถ้าปฏิบัติถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่าสอนให้เรายากจน เพราะความรวยนี้เป็นทุกข์ ความรวยดับความทุกข์ไม่ได้ ความร่ำรวยจะเป็นตัวสร้างความทุกข์ให้เกิดมากขึ้น เพราะรวยแล้วก็ไม่อยากจะจน กลัวความจน ความกลัวความจนนี้คือความทุกข์ แต่พวกเราทุกคน ในที่สุดก็ต้องจนกันหมด เวลาตายก็ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยแม้แต่บาทเดียว เวลาจะตายนี้จะทุกข์มากคนที่กลัวความจน ความตายมันยังไม่ค่อยกลัว กลัวที่จะต้องจากทรัพย์สมบัติ จากสิ่งต่างๆไปมากกว่า คนที่ไม่มีอะไรจะจากนี้เวลาตายเขาไม่ค่อยเดือดร้อน อย่างขอทานนี้เวลาเขาตายนี้เขาไม่มีอะไรต้องเสียใจเสียดาย เขากลับดีใจว่าจะได้หมดทุกข์เสียที อยู่มาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ศาสนาพุทธสอนให้เราให้มีความสุขใจ ให้รวยทางจิตใจ รวยด้วยทรัพย์ภายใน รวยด้วยทาน รวยด้วยศีล รวยด้วยภาวนา รวยด้วยมรรคผล นิพพาน เพราะอันนี้แหละเป็นทรัพย์ที่จะให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง และจะเป็นทรัพย์ที่จะติดไปกับเราทุกภพทุกชาติ

ก็ขอให้เราศึกษาธรรมะกันให้มากๆ เราจะได้ไม่หลงทางกัน จะได้ไม่ถูกหลอก นี่มันมีเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว พอจางหายไปสักสองสามปีก็โผล่ขึ้นมาใหม่ ลองนับมาซิ เวลาโผล่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ตื่นเต้นกันคิดว่ามีศาสดาองค์ใหม่มากันแล้ว แล้วเดี๋ยวก็เกิดเรื่องฉาวกันตามมา แล้วพอสงบตัวไปสักพัก ก็โผล่ขึ้นมาใหม่อีกแล้ว ก็มาแนวเดิมมาแนวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ชาวบ้านก็ชอบเพราะชาวบ้านไม่เคยศึกษาธรรมะกัน ไม่รู้ว่าของที่วิเศษวิโสจริงๆนั้นเป็นอย่างไร คิดว่าอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นี้เป็นของวิเศษ ไม่ได้คิดว่าการดับความทุกข์นี้เป็นของวิเศษกัน เวลาสอนให้ดับความทุกข์นี้ไม่ชอบกันไม่อยาก ให้รักษาศีลไม่เอา ให้ภาวนาให้นั่งสมาธินี้ไม่เอา ถอยหนี ให้พิจารณาความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ยิ่งไม่เอาใหญ่เลย พอคิดคำว่าตายเท่านั้นไม่เอาแล้วไม่มงคลแล้ว เพราะขาดการศึกษาเป็นพุทธแต่ชื่อ พุทธในทะเบียนบ้าน ไม่ใช่พุทธแท้

พุทธแท้ต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ต้องรู้จักพระธรรมคำสอน ต้องรู้จักพระอรหันตสาวก นี่ไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าวิเศษตรงไหน วิเศษอย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร พระอรหันตสาวกท่านวิเศษอย่างไรพวกนี้ไม่รู้จัก จะรู้จักแต่พระที่แจกวัตถุมงคลเท่านั้น ถ้าที่ไหนมีแจกวัตถุมงคลนี้ คนไปเป็นหมื่นเป็นแสน พอไปแจกธรรมะนี้กระจายเลย พอตั้งนะโมจะเทศน์เท่านั้นลุกไปหนีกันไปแล้ว

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๖


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤษภาคม 02, 2016, 12:45:20 PM
...ทำตัวให้เป็น.."ขี้ริ้ว"
ทำตัวให้เป็น "คนต่ำต้อย"
ทำตัวเหมือนปฐพี ปฐพีนี่เขาไม่รังเกียจ
ใครจะไปเยี่ยวรด ใครจะไปอุจจาระใส่
ใครจะเอาจอบเอาเสียมไปขุด
ไปทำอะไร ปฐพีเขารับได้หมด
.
...เราก็ต้องทำใจแบบนั้น รับได้ทุกสภาพ
ใครจะด่าเรา ใครจะว่าเรา ใครจะอะไรเรา
เราก็รับไป.."เราเอาใจออกมารับ"
"อย่าเอาตัวตนออกมารับ"
.
...ใจ..ก็คือผู้รู้ รู้เฉยๆ สักแต่ว่ารู้
รู้ว่าเขาพูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ "ก็รับรู้ไป"
"อย่าเอาตัวตนออกมารับ"
ถ้าตัวตนจะเกิดปัญหา เช่น
เราเป็นผู้ใหญ่กว่ามัน มันเป็นเด็ก
ทำไมมันพูดแบบนี้ ทำอย่างนี้
แสดงว่า "เอาตัวตนออกมา"
.
...ถ้าเอาตัวรู้ออกมา
"ก็เป็นเหมือนกับกระจก"
กระจกนี้มันใครยิ้มให้กับกระจก
กระจกมันก็ยิ้มกลับมาใช่ไหม
ใครแยกเขี้ยวใส่กระจก..กระจกมัน
"ทำหน้าที่สะท้อนเท่านั้นเอง"
รับรู้เท่านั้นเอง..
.
...ฉันใด..ใจเราก็ต้องทำหน้าที่
เป็นเพียงแต่ "ผู้รับรู้กับเรื่องราวต่างๆ"
ใจอย่า..ไปมีปฏิกิริยาต่างๆ
แล้วใจเราจะ..ไม่ทุกข์
ใจเราจะเย็น จะสบาย...
................................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา1/5/2559
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 24, 2016, 10:15:59 PM
"พระป่า กับ พระราชา"

ศาลาหลังนี้ ในหลวงท่านก็ขึ้นมาสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราช(สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) (เจริญ สุวฑฺฒโน) เมื่อปี ๒๕๒๖

สมเด็จพระสังฆราชฯท่านชอบปฏิบัติในป่าในเขา เมื่อก่อนไม่มีวัดญาณฯ ท่านก็จะไปปฏิบัติทางภาคอีสาน ไปอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่น หลวงตามหาบัว พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์วัน ท่านชอบไปวัดป่า ไปภาวนา แล้วพอท่านมาสร้างวัดญาณฯ ก็มีพระปฏิบัติมาสร้างกระต๊อบถวายให้ท่านอยู่บนเขานี้ ท่านก็ชอบ กระต๊อบเล็กๆไม่ใหญ่

เวลาที่ท่านมาทำภาระกิจที่วัดญาณฯ ตกตอนเย็นตอนค่ำท่านก็จะขึ้นมาปฏิบัติพักค้างแรมบนเขา ในหลวงท่านก็เคยมาเฝ้ามาสนทนาธรรม ท่านก็มารับเสด็จฯที่บนศาลาหลังนี้ ในหลวงท่านก็เลยดำริอนุญาตให้พระอยู่อาศัยบนนี้ได้ เพราะทรงประกาศเขตป่านี้ให้เป็นเขตอุทยาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามกฏหมายนี้เขาไม่ให้ใครขึ้นมาอยู่ ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์ แต่เนื่องจากพระมาอยู่ก่อนที่จะประกาศเขต ท่านก็เลยอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

แล้วท่านเองก็เคยดำริว่า ท่านอยากจะสละราชสมบัติแล้วมาบวชอยู่บนเขานี้ ตอนที่ท่านครบอายุ๖๐
แต่เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองมันมีเรื่องราวอยู่เรื่อยๆ ท่านจึงไม่สามารถสละราชสมบัติได้ ท่านเคยปรารภเคยพูดถึงอยู่
ก็เลยมีการเตรียมสถานที่ทำถนน ลาดยางเอาไฟฟ้าขึ้นมาเตรียม

แต่พระเราไม่ได้ใช้ไฟฟ้ากันเพราะว่า วัดป่าพระป่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้านี้เป็นพิษเป็นภัยมากกว่าเป็นประโยชน์
เพราะมันเป็นช่องให้กิเลสมาได้ พอมีไฟฟ้าเดี๋ยวก็มีเครื่องเสียง มีทีวี วิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องอำนวยความสุขต่างๆ
ซึ่งเป็นความสุขทางร่างกาย ที่เป็นภัยต่อจิตใจ แม้แต่น้ำปะปาก็ไม่ต้องมี อยู่กันแบบอยู่ธุดงค์ในป่า อาศัยรองน้ำฝนใส่แท็งค์น้ำใว้ใช้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 23 มิถุนายน 2559


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ ตุลาคม 30, 2016, 09:43:07 PM
...การเจริญสติต้อง
"ทำอย่างต่อเนื่อง" ตั้งแต่ตื่นจนหลับ
พอมีเวลาว่างก็นั่งหลับตา
แล้วก็เจริญสติต่อ
.
...ถ้าสติมีกำลัง "ดึงจิต" ให้อยู่กับ
อารมณ์ของการภาวนาได้
ก็จะเข้าสู่ความสงบได้
.
...พอจิต "สงบเต็มที่"
ก็จะว่าง..จะเย็นจะสบาย
ไม่มีความคิดปรุงแต่ง
เป็นอุเบกขา..มีอารมณ์เดียว
ที่เรียกว่า"สักแต่ว่ารู้ รู้เฉยๆ"
.
...แต่..ไม่มีอะไรให้รู้ "รู้ว่ามีแต่ความว่าง"
ปล่อยให้อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
อย่างนี้เรียกว่า.."สมาธิ"
เป็นสมาธิที่ถูกต้อง..เป็นสัมมาสมาธิ..
.
..เป็นสมาธิที่จะสนับสนุน
การเจริญปัญญาต่อไป
แต่..ตอนที่สงบนิ่งนี้
ไม่ใช่เวลาที่จะเจริญปัญญา
.
...เป็นการเจริญสมาธิ
ปล่อยให้สงบให้นานที่สุด
ถ้าจิตสงบได้นาน
ก็จะมีกำลังที่จะ..
"ต่อสู้กับกิเลสตัณหา"ได้มาก
..........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมะบนเขา 30/9/2555
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ พฤศจิกายน 10, 2016, 06:20:28 PM
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ไปถึงพระโสดาบัน
ต้องปฏิบัติอย่างไร?
พระอาจารย์สุชาติ : ต้องทำบุญ ทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ แล้วพิจารณาร่างกายว่าไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ปล่อยวางร่างกายได้ ไม่ทุกข์กับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่กลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เป็นโสดาบันได้ ถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังเป็นไม่ได้ แสดงว่ายังยึดติดกับร่างกายอยู่ ต้องเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา มันต้องแก่ เจ็บ ตาย
เหมือนกับเราเห็นร่างกายของคนอื่น ร่างกายของคนอื่น เราไปทุกข์กับเขามั๊ย เขาแก่ เขาเจ็บ เขาตาย
เรานี้ไม่ทุกข์เลยใช่มั๊ย ร่างกายของเราก็เหมือนร่างกายของเขา เพียงแต่เรามาครอบครอง
มายึดเป็นของเรา เราก็เลยไม่อยากให้มันแก่ เจ็บ ตาย พอไม่อยากมันก็เลยทุกข์
ก็ต้องไม่อยากไปอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ปล่อยมันแก่ไป เจ็บไป ตายไป

ถ้าอยากรู้ว่าปล่อยได้หรือไม่ ก็ลองไปทดสอบดู นั่งให้มันเจ็บ ปล่อยให้มันเจ็บไป ไม่ต้องลุก ไม่ต้องขยับ
ปล่อยให้มันเกิดดับไปของมันเอง เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง ความเจ็บเดี๋ยวมันก็หายไป เกิดแล้วก็ดับไป
ถ้าปล่อยได้ก็แสดงว่าปล่อยความเจ็บได้แล้ว ความตายปล่อยได้มั๊ย ก็ลองไปอยู่ป่าช้าดู ไปที่ไหนมันน่ากลัวดู
ดูไปแล้วใจกลัวหรือเปล่า ใจทุกข์หรือเปล่า ยอมตายหรือเปล่า ถ้ายอมตายได้ก็ไม่กลัวแล้ว ไม่กลัวก็หายทุกข์ แสดงว่าปล่อยแล้ว
พระโสดาบันท่านปล่อยร่างกายได้ ปล่อยความแก่ ปล่อยความเจ็บ ปล่อยความตายได้ อยู่กับมันได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2559


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 01, 2017, 09:23:27 AM
"การใช้เงินที่ไม่สูญเปล่า"
ความสุขที่เราได้จากการซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไปเที่ยวกันนี้ จะเป็นความสุขเดี๋ยวเดียว เวลาที่เราไปเที่ยวกันไปซื้อของที่เราอยากได้กัน เราก็จะมีความสุขกัน แต่พอเรากลับมาบ้านความสุขเรานั้นก็จางหายไปหมด แล้วก็เงินที่ใช้ไปก็หมดไป แต่ถ้าเราเอาเงินนี้มาทำบุญทำทาน เราจะได้อีกแบบหนึ่ง ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความอิ่มเอิบใจ ความพอใจ แล้วทุกครั้งที่เราคิดถึงบุญที่เราได้ทำ เราก็ยังเกิดความสุขใจอิ่มเอิบใจ ไม่เหมือนกับเราคิดถึงสถานที่ที่เราไปท่องเที่ยว หรือของที่เราไปซื้อมา เพราะคิดแล้วแทนที่จะสุขใจกลับเกิดความหิวโหยขึ้นมา เกิดความอยากไปเที่ยวใหม่ อยากจะซื้อของใหม่ แทนที่จะมีความอิ่มใจสุขใจกลับเกิดความหิวขึ้นมา เกิดความอยาก อยากจะไปเที่ยวอีกอยากจะไปซื้อของอีก แล้วการเอาเงินไปซื้อข้าวของ สิ่งที่เราได้มาก็คือข้าวของ ซึ่งเราบางทีก็ไม่ได้ใช้ ซื้อมาแล้วก็เอามาวางไว้เฉยๆ ปล่อยไว้นานๆ เข้ามันก็เก่า เดี๋ยวมันก็เสียมันก็หมดสภาพไป
แต่เงินที่เราเอาไปทำบุญทำทานนี้เราไม่ได้สิ่งของกลับมา แต่เราได้บุญกลับมา ที่เป็นเหมือนกับเงินที่เราฝากไว้กับธนาคาร ภพหน้าชาติหน้าเวลาเรากลับมาเกิดใหม่ เป็นมนุษย์ใหม่ เราจะมีเงินที่เราฝากไว้ในการทำบุญนี้รอเราอยู่ เรากลับมาเราจะได้มีเงินมากกว่าที่เรามีในภพนี้ชาตินี้ เพราะเป็นเหมือนกับการเอาไปฝากไว้ในธนาคาร มีทั้งต้นและมีทั้งดอกเพิ่มขึ้นอีก หรือถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับการเอาเมล็ดข้าวไปปลูก เมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งจะได้ต้นข้าวต้นหนึ่ง แต่เมื่อต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวงมาจะได้เมล็ดข้าวอีกหลายสิบเมล็ดด้วยกัน ก็เป็นเหมือนกับการปลูกข้าว ทำบุญบาทหนึ่งนี้จะได้กลับมาเป็นร้อยเป็นสิบ เหมือนกับเมล็ดข้าวเม็ดหนึ่ง เมื่อเราปลูกไปได้ต้นข้าวมาต้นหนึ่ง พอต้นข้าวออกดอกออกรวงขึ้นมาออกข้าวขึ้นมาก็ได้หลายสิบเมล็ด นี่คือการใช้เงินที่ไม่สูญเปล่า ใช้เงินแล้วจะได้กลับคืนมา เวลาที่เรากลับมาเกิดใหม่ การที่พวกเรามาเกิดแล้วมีฐานะการเงินการทองต่างกันก็เป็นเพราะว่าเราได้ทำบุญในอดีตมามากน้อยไม่เท่ากันนั้นเอง เราทำบุญมากเรากลับมาเกิดเราก็จะกลับมาเกิดเป็นลูกของคนร่ำรวย มาเกิดเป็นลูกของคนมีเงินมีทอง ถ้าเราไม่ได้ทำบุญทำทานเรากลับมาก็จะกลับมาเกิดเป็นลูกของคนยากจน
นี่คือประโยชน์ที่เราจะได้รับต่างกัน จากการใช้เงินก้อนเดียวกัน เอาเงินไปเที่ยวเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือยของไม่จำเป็น กับเอาเงินนี้ไปทำบุญนี้ประโยชน์ที่จะได้รับไม่เหมือนกัน เอาไปเที่ยวก็สุขขณะที่เที่ยว กลับมาความสุขนั้นก็หมดไป แล้วถ้ากลับมาเกิดใหม่ในภพหน้าชาติหน้าก็ไม่มีเงินทองรอรับเรา เพราะเราไม่ได้เอาไปทำบุญ แต่ถ้าเราเอาไปทำบุญ กลับมาจากทำบุญเราก็ยังมีความสุขใจอิ่มเอิบใจจากการที่เราได้ทำบุญ แล้วถ้าวันไหนเราคิดถึงบุญที่เราได้ทำ บุญนั้นก็ยังทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มใจสุขใจอยู่ แล้วเวลาเรากลับมาเกิดใหม่เราก็จะมีเงินทองที่เราทำบุญนี้มารอเราอยู่.
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
"วันพระในยุคปัจจุบัน"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มีนาคม 22, 2017, 06:33:29 AM
"สุขตอนต้นทุกข์ตอนปลาย"
คนที่เรารักคนที่เราชอบ พอได้เขามาเราก็สุขใจ เดี๋ยวเวลาที่เขาจากเราไปเราก็เสียใจ ให้คิดว่าทุกอย่างที่เราได้มา ทุกอย่างที่จะให้ความสุขกับเรานั้น มีวันที่จะต้องหมดไป มีวันที่จะต้องหมดไป มีวันที่จะต้องจากเราไป หรือมีวันที่เราจะต้องจากเขาไป ถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็ ไม่อยากจะได้อะไร ได้มาแล้ว ทุกข์ เอามาทำไม ได้มาแล้วถึงแม้ว่าจะมีสุข แต่มันสุขตอนต้น เพราะเดี๋ยวมันจะต้องทุกข์ตอนปลาย บางทีเขายังไม่ทันจากไปเราก็ทุกข์แล้ว ทุกข์เพราะห่วงใยกังวล กังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไป กังวลว่าเขาจะไม่อยู่ ห่วงเขาเวลาไม่เห็นหน้าเห็นตาก็ห่วง นั่นมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ที่เกิดจากการอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ได้บุคคลนั้นบุคคลนี้ เวลาที่ไม่ได้ก็ทุกข์อีกแบบหนึ่ง เพราะว่าเวลาอยากแล้วไม่ได้มันก็เสียใจไม่สบายใจ กระวนกระวายใจ เวลาเรารอสิ่งที่เราอยากได้เรารู้สึกกระวนกระวายไหม เมื่อไรจะมาสักทีเมื่อไรจะได้สักที พอได้มาก็ดีใจเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็มากังวลกับของที่เราได้ ว่าเอ๊ะมันจะดีไปเรื่อยๆ หรือเปล่า หรือเดี๋ยวมันจะเสียเดี๋ยวมันจะหายไปหรือเปล่า นี่ก็ทุกข์อีก เดี๋ยวเวลาเขาไปจริงๆ เสียจริงๆ เราก็ทุกข์อีก ให้คิดดูอย่างนี้
ทุกอย่างที่เราอยากได้นี้มันทำให้เราทุกข์ใจตั้งแต่เริ่มความอยาก พอมีความอยากปั๊ปมันก็ทุกข์แล้วไม่สบายใจแล้ว พอได้มาก็ทุกข์อีก และพอเสียไปก็ทุกข์อีก ทุกข์ทั้งสามระยะเลย ระยะเริ่มต้นตั้งแต่คิดอยากจะได้นี้กินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว อยากจะได้อะไรนี้ นอนไม่หลับแล้ว อยากจะไปเอาไอ้สิ่งที่เราอยากได้ พอได้มาก็ต้องมาทุกข์กับการดูแลรักษา มาห่วงใยมาวิตกมากังวล แล้วเดี๋ยวเวลาเสียไปก็ทุกข์อีก ของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือสิ่งของต่างๆ มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น เป็นของไม่แน่นอน เป็นของที่เปลี่ยนได้ มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มีการเกิดมีการดับ แล้วเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ ไปบังคับเขาไม่ได้ ไปหยุดเขาไม่ได้ ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้ เวลาเขาจะเป็นอย่างนี้เราจะไปเปลี่ยนให้เขาเป็นอย่างนั้น เราเปลี่ยนไม่ได้ เวลาเขาไม่ดีกับเรา เราก็เสียใจ อยากให้เขาดี เขาไม่ดีเราก็ทุกข์ นี่คือการคิด คิดแบบที่จะทำให้เราไม่อยากได้อะไร ไม่อยากมีอะไร ไม่อยากทำอะไร ถ้าเราไม่มีความอยากต่างๆ เราก็อยู่เฉยๆ ได้สบายไม่ต้องดิ้นรน.
สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


หัวข้อ: Re: ธรรมะ ที่ถ่ายทอดโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: golfreeze ที่ มิถุนายน 01, 2017, 06:50:02 AM
"ความสุขที่แท้จริง"
น้ำตาที่สัตว์โลกต้องหลั่งในแต่ละภพแต่ละชาตินี้ ถ้าเอามารวมกันแล้ว พระองค์ทรงตรัสว่ามากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
คิดดูก็แล้วกันว่า จะต้องมาเกิดมาร้องห่มร้องไห้กี่ครั้งกัน ถึงจะมีน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทร
นั่นคือปริมาณของความทุกข์ของสัตว์โลก ที่มีกันอยู่ทุกภพทุกชาติที่มาเกิดมาได้ร่างกาย
ก็จะต้องมีการร้องห่มร้องไห้ มีความเศร้าโศกเสียใจ เวลาที่จะต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ จากบุคคลต่างๆ
พลัดพรากจากร่างกายไป การหาความสุขทางร่างกาย จึงเป็นการหาความทุกข์มากกว่า แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือก
ก็เลยจำเป็นต้องหาความสุขแบบทางร่างกายนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้มีคนมาบอกทางเลือก ก็คือพระพุทธเจ้า
พอพระพุทธเจ้าทรงค้นพบความสุขที่ถาวรแล้ว ก็นำเอามาเผยแผ่มาบอกมาสอน วิธีที่จะให้เข้าถึงความสุขที่ถาวรนี้
ถ้าเชื่อถ้าศรัทธา แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติ ก็จะสามารถเข้าถึงความสุขที่ถาวรนี้ได้ เมื่อเข้าได้แล้วก็จะมาเป็นผู้ช่วยพระพุทธเจ้า
มาเผยแผ่สั่งสอนวิธีเข้าถึงความสุขที่แท้จริงนี้ต่อจากพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาจึงยังมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ได้จนถึงบัดนี้
ก็เพราะว่ามีผู้ที่เชื่อมีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้น้อมนำเอาไปปฏิบัติจนสามารถเข้าถึงความสุขที่แท้จริงที่ถาวรนี้ได้
แล้วก็นำเอามาเผยแผ่สั่งสอนให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ต่อไป

นี่เป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว และก็จะเจริญรุ่งเรืองต่อไปตามที่ทรงพยากรณ์ไว้
พระพุทธศาสนานี้ก็จะมีอายุอยู่ได้ประมาณ ๕,๐๐๐ ปีด้วยกัน หลังจากนั้นก็จะไม่มีใครที่จะมาสั่งมาสอน
มาบอกวิธีให้เข้าถึงความสุขอันนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา สัตว์โลกก็ต้องหาความสุขทางร่างกายต่อไป
แล้วก็ต้องหลั่งน้ำตาที่มากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรต่อไปอีก จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาตรัสรู้
มาค้นพบความสุขที่ถาวร ความสุขทางใจ แล้วก็มาประกาศพระศาสนา เพื่อมาช่วยมาสอนสัตว์โลกให้ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงนี้
ความสุขที่ถาวรนี้ต่อไป นี่คือเรื่องของความสุขทางใจ นานๆ จะมีโอกาสได้เข้าถึงกันสักครั้งหนึ่ง.

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๐
"ความสุข ๒ แบบ"
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต